IRPC แตกไลน์ 5 ธุรกิจแห่งอนาคตในปี 2567

8 ธันวาคม 2566 - 03:08

Economy-IRPC-splits-into-5-business-lines-of-the -future-in-2024-SPACEBAR-Hero.jpg
  • IRPC แตกไลน์ธุรกิจหลักเดินหน้า 5 Future Business ปี 2567

  • คาดเริ่ม ‘รีไซเคิลพลาสติก Polypropylene’ ได้เร็วสุด หวังลดขยะจากพลาสติก

  • จับมือกับรพ.เอกชน ศึกษาการลงทุนธุรกิจสุขภาพในพื้นที่จ.ระยอง

IRPC ประกาศกลยุทธ์ปี 2567 แตกไลน์ธุรกิจหลักเดินหน้า 5 Future Business รีไซเคิลพลาสติก-โรงพยาบาลและที่พักเพื่อสุขภาพ (Health&Wellness) เพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาด และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ปี 2060

S__48128034.jpg

กฤษณ์  อิ่มแสง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่  บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC เปิดเผยว่า ช่วงที่ผ่านมา ภาวะเศรษฐกิจภูมิภาคยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ จากปัจจัยเศรษฐกิจโลก โดยคาดการณ์ว่าตัวเลข GDP ไทยปี 2566 จะเติบโตที่ 2.8 % ขณะที่ปี 2567 คาดการณ์จะโตต่ำกว่าปีนี้ ที่ราว 2.5% เนื่องจากประเทศไทยพึ่งพาการส่งออกเป็นหลักถึง 60 % ของ GDP 

โดยผลประกอบการ 9 เดือนแรกของ IRPC บริษัทมีกำไรสุทธิ 494 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นกำไรที่ไม่สูงมากเมื่อเทียบกับธุรกิจปิโตรเคมีที่ดำเนินการมาในอดีต เนื่องจากสถานการณ์ราคาน้ำมันที่ผันผวน สำหรับ ราคาน้ำมันดิบดูไบ (ณ 7 ธ.ค.66) ลดลงมาเหลือ 75 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ไม่เคยมีการคาดการณ์มาก่อน 

โดยหลังจากกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน อย่าง โอเปกพลัส ลดกำลังการผลิตน้ำมันเมื่อช่วงปลายเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา แต่กลับพบว่า ตลาดก็ไม่ได้ขานรับ ราคาน้ำมันไม่ได้ดีดตัวสูงขึ้น แต่ราคาน้ำมันโลกกลับลดลง 

IRPC จึงได้เตรียมความพร้อมรับความผันผวนที่เกิดขึ้น โดยธุรกิจเดิม อย่าง โรงกลั่น และปิโตรเคมี ก็ยังคงเดินหน้าต่อ แต่ได้มีการต่อยอดยกระดับจากธุรกิจเดิม เพิ่มมูลค่าให้มากขึ้น  โดยบริษัทฯ ได้วางแผนกลยุทธ์ให้สอดคล้องและเหมาะสมกับสถานการณ์ในแต่ละช่วง 

ปี 2567 ได้วางกลยุทธ์แตกไลน์เดินหน้า 5 Future Business ได้แก่ 

1.Health & Life Science (Filtration) เช่น แผ่นกรองอากาศในเครื่องกรองอากาศ อุปกรณ์กรองน้ำในเครื่องกรองน้ำ รวมถึง วัสดุกรองในหน้ากากอนามัย และ หน้ากาก N95 เป็นต้น ซึ่งสินค้ากลุ่มนี้จะเติบโตตามพฤติกรรมของผู้บริโภคที่รักสุขภาพมากขึ้น ขณะนี้อยู่ในช่วงของการเจรจากับทางพาร์ทเนอร์ 

2.Advanced Materials วัสดุที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น การมองหาโอกาสในการขุดแร่ ​Lithium ซึ่งเป็นวัตถุดิบตั้งต้นในการผลิตแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่ง IPPC มีพาร์ทเนอร์รายหนึ่งที่สามารถสำรวจเหมืองเก่าในประเทศไทยในภูมิภาคต่างๆ ซึ่ง เหมืองเก่าบางแห่งยังมี แร่ ​Lithium ซึ่งโปรเจคนี้อยู่ในช่วงการพิสูจน์ทราบว่า แร่ที่ค้นพบจากคุ้มต้นทุนหรือไม่ สำหรับการดำเนินการในเชิงพาณิชย์ ซึ่งกระบวนการค่อนข้างยาก จึงต้องใช้เวลาในการศึกษา และต้นทุนสูง แต่หากสามาถทำได้ก็จะเป็นโอกาสที่ดีในการตั้วต้นผลิตรถไฟฟ้าจาก แร่ ​Lithium 

3.Green & Circular (Recycling businee) อย่าง การรีไซเคิลพลาสติก ซึ่งปัจจุบันไทยมีกระบวนการใช้การรีไซเคิลพลาสติกแบบ ขวด PET เรียบร้อยแล้ว และมีตลาดรองรับ โดย IRPC มองหาโอกาสในการรีไซเคิลตัวพลาสติก PP หรือ Polypropylene ซึ่งขณะนี้ IRPC มีเทคโนโลยีที่จะเข้ามาแยกสีออกจากเนื้อพลาสติกจากตัวถุงพลาสติก แต่กำลังมองหาศักยภาพของกลุ่ม Start-up ที่จะสามารถแยกประเภทของพลาสติกประเภทต่างๆได้ในเชิงพาณิชย์ หากสามารถเกิดขึ้นได้จริง คาดว่าจะเริ่มดำเนินการในเชิงธุรกิจได้ในปีหน้า

S__48128040.jpg

กระบวนการในการแยกสีมันออก ให้เหลือแต่พลาสติกอย่างเดียว ในอดีตไม่มีเทคโนโลยี ตอนนี้เราเจอและกำลังพัฒนา โดยทาง IRPC จะเป็นตลาดรับซื้อ PP (Polypropylene)ให้กับ Start-up ที่มีศักยภาพ ซึ่งโปรเจคนี้จะเกิดก่อนเลยใน Future Business 5 ตัวนี้

กฤษณ์ อิ่มแสง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC

สำหรับประเทศไทยปัจจุบันใช้พลาสติก หรือ Polypropylene ปีละ 1.4 ล้านตัน แต่ไม่มีการนำกลับมาใช้ใหม่ ทาง IRPC จึงตั้งเป้ารีไซเคิลที่ 2-3 แสนตันต่อปี โดยธุรกิจนี้จะนำมาซึ่งการปลดปล่อยคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ของประเทศไทย เพื่อบรรลุเป้าหมายและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ปี 2060      

4.Future Energy (Floating solar)  การติดแผงโซลาร์เซลล์บนผืนน้ำ ปัจจุบัน IRPC มีอยู่ประมาณ​ 21 เมกะวัตต์ และจะมีการขยายศักยภาพมากขึ้นในปี 2567 รวมถึงจะดำเนินการ Solar rooftop ด้วย โดยตั้งเป้าการผลิต Solar ทั้งระบบที่ 40 เมกะวัตต์ และหากเหลือก็จำหน่ายไปยังส่วนกลาง เพราะ IRPC มีสัญญา PPA (Power Purchase Agreement) ซื้อขายไฟฟ้าเข้าส่วนกลาง ได้ 45 เมกะวัตต์

5.Asset & Services (Hospital & wellness center) โดย IRPC ร่วมกับ รพ.บางปะกอกและรพ.ปิยะเวท ศึกษาการลงทุนในธุรกิจโรงพยาบาลและที่พักเพื่อสุขภาพ (Health&Wellness) ในที่ดินบริษัทฯพิกัดตรงข้ามศูนย์ราชการจ.ระยอง  เพื่อหวังยกระดับคุณภาพชีวิตและสุขภาพประชาชนในพื้นที่ จ.ระยอง และจังหวัดใกล้เคียง 

แต่โครงการนี้ ต้องการทำรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) และ EHIA จึงอาจจะใช้เวลาในการศึกษาอีกสักระยะ โดยครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่รพ.บางปะกอกและรพ.ปิยะเวท รุกธุรกิจออกมาจากพื้นที่กทม.ซึ่งคาดว่าน่าจะทราบผลว่าจะออกมาจะสามารถดำเนินการได้หรือไม่ ในปี 2567

IRPC.jpg

โดยประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ เผยว่า ขณะนี้แผนธุรกิจคณะกรรมการบริษัท เห็นชอบแล้วโดยวันที่ 19 ธ.ค.นี้ บริษัทจะมีการเสนอที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติเม็ดเงินลงทุนปี 2567 และเม็ดเงินลงทุน 5 ปี พร้อมเผยว่าในไตรมาส 3 ปี 2567 จะมีการลงทุนขนาดใหญ่อีกด้วย 

สำหรับก่อนหน้านี้ บริษัทฯก็ได้ สร้างความแข็งแกร่งต่อยอดจากธุรกิจหลัก (Core Uplift) ได้แก่

1.ธุรกิจปิโตรเลียม (Domestic first) ซึ่งจะดำเนินการขยายระบบโลจิสติกส์ขนส่งน้ำมันทางท่อ โดยขยายคลังน้ำมันแห่งใหม่ที่ อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา ด้วยระบบขนส่งน้ำมันทางท่อความยาว 99 กิโลเมตร ร่วมกับ บริษัท กรุงเทพขนส่งเชื้อเพลิง ทางท่อและโลจิสติกส์ จำกัด หรือ BFPL เพื่อรองรับความต้องการใช้พลังงานภาคขนส่งในภาคกลางและภาคเหนือ 

รวมทั้งโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพโรงกลั่นและคุณภาพน้ำมันดีเซล ยูโร 5 (Ultra Clean Fuel Project หรือ UCF) ให้มีความพร้อมผลิตน้ำมันมาตรฐานยูโร 5 หรือน้ำมันดีเซลที่มีกำมะถันต่ำ สามารถผลิตเชิงพาณิชย์ภายใน 1 ม.ค.2567 ตามนโยบายของภาครัฐ

2. ด้านธุรกิจปิโตรเคมี (Specialty Boost) ออกแบบผลิตภัณฑ์ชนิดพิเศษ “POLIMAXX”ได้แก่ เม็ดพลาสติก พีพี เมลต์โบลน (PP Melt Blown) สำหรับผลิตภัณฑ์อุปกรณ์ทางการแพทย์ และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขอนามัยที่มีคุณภาพ เม็ดพลาสติก HDPE 100-RC สำหรับผลิตท่ออุตสาหกรรมขนาดใหญ่ 

3.ธุรกิจท่าเรือและอสังหาริมทรัพย์ (Maximize Infrastructure & Asset Utilization) บริษัทฯ มีความพร้อมให้บริการท่าเทียบเรือน้ำลึกเพื่อขนถ่ายสินค้าทั้งภายในประเทศ รวมถึงยังได้พัฒนาพื้นที่ให้เป็นที่ดินเพื่อการอุตสาหกรรมพร้อมสนับสนุนการขยายตัวของภาคเศรษฐกิจอุตสาหกรรมรองรับโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) 

นอกจากนี้ ยังร่วมกับบริษัท เบเยอร์ จำกัด พัฒนาผลิตภัณฑ์สีและสารเคลือบมาตรฐานโลกเป็นครั้งแรกของประเทศ ด้วยส่วนผสม Polytetrafluoroethylene (PTFE) ที่มีคุณสมบัติพิเศษมีความทนทานต่อสภาพอากาศที่รุนแรง ช่วยยืดอายุการใช้งานโครงสร้างเหล็กถึงสามเท่า 

รวมถึงพัฒนาผลิตภัณฑ์ปุ๋ยและอาหารเสริมพืช “ปุ๋ยหมีขาว” ภายใต้เครื่องหมายการค้า “REINFOXX” เพิ่มอีก 4 สูตร เพื่อให้เกษตรกรไทยสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ มีความปลอดภัยต่อผู้ใช้ ต่อผลผลิตและสิ่งแวดล้อม 

พร้อมบูรณาการความยั่งยืนในการทำธุรกิจในหลายมิติ มุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 20% ในปี 2030 บรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ปี ค.ศ.2050 และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ปี ค.ศ.2060 เร็วกว่าเป้าหมายของประเทศ ปี ค.ศ. 2065

ข่าวที่น่าสนใจ

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์