การวางแผนการเงิน เพื่อใช้จ่ายในอนาคต สิ่งที่ควรเริ่มลงมือทำก่อน คือการตรวจสุขภาพทางการเงินของเราว่าตอนนี้เรามีสถานะการเงินเป็นอย่างไร ก็คล้าย ๆ กับการที่เราต้องไปตรวจสุขภาพร่างกายที่โรงพยาบาลว่า ตอนนี้เรามีสุขภาพร่างกายเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งการตรวจสุขภาพการเงินของเรานั้น เราจะทำการตรวจด้วยตัวเลขจากงบการเงินส่วนบุคคลกัน ซึ่งประกอบด้วย สินทรัพย์-หนี้สิน และรายได้-ค่าใช้จ่าย ที่เราจะต้องเข้าใจก่อน ถึงจะเช็กความแข็งแรงทางการเงินได้อย่างแม่นยำ
สินทรัพย์ คือ ทรัพย์สิน เงินทอง หรือสิ่งของ ที่มีมูลค่าและเป็นของเรา แบ่งออกเป็น 3 ประเภท
อัตราส่วนแสดงความอยู่รอด
สูตรนี้คำนวณจาก รายได้ต่อเดือน/ค่าใช้จ่ายต่อเดือน และควรมีมากกว่า 1 เช่น มีรายได้ต่อเดือน 30,000 บาท มีค่าใช้จ่ายต่อเดือน 20,000 บาท จะคำนวณได้ = 30,000/20,000 = 1.5 แปลว่า อยู่รอด เพราะมีเงินเพียงพอที่จะใช้จ่ายในแต่ละเดือน ก็ช่วยลดโอกาสในการนำเงินเก็บออกมาใช้จ่าย หรือการก่อหนี้เพิ่ม
อัตราส่วนสภาพคล่อง
คือ ความสามารถในการชำระหนี้สินระยะสั้น สูตรนี้คำนวณจาก สินทรัพย์สภาพคล่อง/หนี้สินระยะสั้น และควรมีมากกว่า 1 เช่น มีสินทรัพย์สภาพคล่อง 100,000 บาท มีหนี้สินระยะสั้น 50,000 บาท จะคำนวณได้ 100,000/50,000 = 2 แปลว่า มีเงินเพียงพอ ที่จะชำระหนี้สินระยะสั้น ช่วยลดโอกาสการก่อหนี้เพิ่ม หรือการเป็นหนี้เสีย
อัตราส่วนสภาพคล่องพื้นฐาน
ความสามารถในการเอาตัวรอดจากภาวะฉุกเฉิน สูตรนี้คำนวณจาก สินทรัพย์สภาพคล่อง/ค่าใช้จ่ายต่อเดือน และควรมี 3-6 เช่น มีสินทรัพย์สภาพคล่อง 100,000 บาท มีค่าใช้จ่ายต่อเดือน 20,000 บาท จะคำนวณได้ 100,000/20,000 = 5 แปลว่า มีเงินสำรองไว้ใช้จ่ายยามฉุกเฉิน ช่วยลดโอกาสการรบกวนเงินลงทุนเพื่ออนาคตมาใช้จ่าย หรือการก่อหนี้เพิ่ม
อัตราส่วนหนี้สินต่อสินทรัพย์
คือ ความมั่นคงทางการเงินของเรา สูตรนี้คำนวณจาก หนี้สิน/สินทรัพย์ และควรมีไม่เกิน 0.5 เช่น เรามีหนี้สิน 1,000,000 บาท มีสินทรัพย์ 2,000,000 บาท จะคำนวณได้ 1,000,000/2,000,000 = 0.5 แปลว่า เรามีความมั่นคงทางการเงิน ช่วยเพิ่มโอกาสให้สินทรัพย์เราเติบโตมากขึ้น ไม่ต้องพะวงกับภาระดอกเบี้ยมากนัก
อัตราส่วนแสดงความสามารถในการชำระหนี้
สูตรนี้เน้นไปที่ยอดหนี้ที่จะถึงดีล เช่น ยอดหนี้ที่ต้องผ่อนชำระ หรือยอดหนี้ที่ต้องปิด อาจจะมองเป็น 1 เดือน, 3 เดือน, 6 เดือน หรือ 12 เดือน ข้างหน้าก็ได้ โดยสูตรนี้คำนวณจาก จำนวนหนี้ที่ต้องชำระ/รายได้ และควรมีน้อยที่สุด เช่น เรามีหนี้ที่ต้องชำระ 5,000 บาท ใน 1 เดือน ข้างหน้า แล้วคาดว่าจะมีรายได้เข้ามา 30,000 บาท ก็จะคำนวณได้ 5,000/30,000 = 0.167 แปลว่า มียอดหนี้ที่ต้องชำระน้อยเมื่อเทียบกับรายได้ ช่วยลดโอกาสในการนำเงินเก็บออกมาใช้หนี้ หรือก่อหนี้เพิ่ม เพื่อความไม่ประมาท ควรคำนวณล่วงหน้าไว้สัก 12 เดือน จะได้อุ่นใจว่ามีรายได้พอใช้หนี้แน่ๆ
ลองเช็กความแข็งแรงทางการเงิน ถ้าใครที่ได้ตามเกณฑ์ทั้งหมด ก็ถือว่ามีความแข็งแรงทางการเงินดี แต่ถ้าใครมีข้อไหนไม่ถึงเกณฑ์ ก็ต้องลองหาทางเพิ่มความแข็งแรง และหมั่นดูแลสุขภาพทางการเงินให้มากขึ้น
ที่มา: ธปท.,ธ.กรุงศรีอยุธยา
สินทรัพย์ คือ ทรัพย์สิน เงินทอง หรือสิ่งของ ที่มีมูลค่าและเป็นของเรา แบ่งออกเป็น 3 ประเภท
- สินทรัพย์สภาพคล่อง คือ สินทรัพย์ที่สามารถแปลงเป็นเงินสดได้ทันที ใช้จ่ายได้สะดวก เช่น เงินสด เงินฝากธนาคาร ทองคำ ฯลฯ
- สินทรัพย์เพื่อการออมและการลงทุน คือ สินทรัพย์ที่มีไว้เพื่อหาผลตอบแทน เช่น หุ้นสามัญ กองทุนรวม หุ้นกู้ พันธบัตรรัฐบาล ที่ดิน ฯลฯ
- สินทรัพย์เพื่อใช้ส่วนตัว คือ สินทรัพย์ที่มีไว้เพื่อใช้งานเป็นหลัก เช่น บ้าน คอนโด รถยนต์ เครื่องแต่งกาย ฯลฯ
- หนี้สินระยะสั้น คือ หนี้สินที่มีกำหนดชำระคืนเงินต้นภายใน 1 ปี เช่น หนี้บัตรเครดิต ผ่อนจ่ายโทรศัพท์มือถือ ฯลฯ
- หนี้สินระยะยาว คือ หนี้สินที่มีกำหนดชำระคืนเงินต้นมากกว่า 1 ปี เช่น สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ ฯลฯ
- รายได้จากการทำงาน คือ เราต้องทำงานเพื่อให้ได้เงินมา เช่น เงินเดือน โบนัส ค่าคอมมิชชั่น ฯลฯ
- รายได้จากสินทรัพย์ คือ ผลตอบแทนจากสินทรัพย์ที่เราไปลงทุน เช่น ดอกเบี้ย เงินปันผล ค่าเช่า ฯลฯ
- รายได้อื่นๆ คือ เงินที่เราได้มาโดยไม่ต้องทำงานหรือลงทุน เช่น ถูกลอตเตอรี่ ได้รับของขวัญจากผู้ใหญ่ ฯลฯ
- ค่าใช้จ่ายคงที่ คือ ค่าใช้จ่ายที่เราต้องจ่ายเท่ากันทุกเดือน เช่น ค่าผ่อนคอนโด ค่างวดรถยนต์ ฯลฯ
- ค่าใช้จ่ายผันแปร คือ ค่าใช้จ่ายที่ไม่เท่ากันในแต่ละเดือน ขึ้นอยู่กับปริมาณการใช้ เช่น ค่ากิน ค่าใช้จ่ายส่วนตัว ค่าน้ำ ค่าไฟ ฯลฯ
- ค่าใช้จ่ายเพื่อการออมและลงทุน คือ เงินที่จ่ายออกไปเพื่อหาผลตอบแทนจากการออมหรือลงทุน เช่น ซื้อกองทุนรวม ซื้อหุ้น ซื้อพันธบัตรรัฐบาล ฯลฯ
อัตราส่วนแสดงความอยู่รอด
สูตรนี้คำนวณจาก รายได้ต่อเดือน/ค่าใช้จ่ายต่อเดือน และควรมีมากกว่า 1 เช่น มีรายได้ต่อเดือน 30,000 บาท มีค่าใช้จ่ายต่อเดือน 20,000 บาท จะคำนวณได้ = 30,000/20,000 = 1.5 แปลว่า อยู่รอด เพราะมีเงินเพียงพอที่จะใช้จ่ายในแต่ละเดือน ก็ช่วยลดโอกาสในการนำเงินเก็บออกมาใช้จ่าย หรือการก่อหนี้เพิ่ม
อัตราส่วนสภาพคล่อง
คือ ความสามารถในการชำระหนี้สินระยะสั้น สูตรนี้คำนวณจาก สินทรัพย์สภาพคล่อง/หนี้สินระยะสั้น และควรมีมากกว่า 1 เช่น มีสินทรัพย์สภาพคล่อง 100,000 บาท มีหนี้สินระยะสั้น 50,000 บาท จะคำนวณได้ 100,000/50,000 = 2 แปลว่า มีเงินเพียงพอ ที่จะชำระหนี้สินระยะสั้น ช่วยลดโอกาสการก่อหนี้เพิ่ม หรือการเป็นหนี้เสีย
อัตราส่วนสภาพคล่องพื้นฐาน
ความสามารถในการเอาตัวรอดจากภาวะฉุกเฉิน สูตรนี้คำนวณจาก สินทรัพย์สภาพคล่อง/ค่าใช้จ่ายต่อเดือน และควรมี 3-6 เช่น มีสินทรัพย์สภาพคล่อง 100,000 บาท มีค่าใช้จ่ายต่อเดือน 20,000 บาท จะคำนวณได้ 100,000/20,000 = 5 แปลว่า มีเงินสำรองไว้ใช้จ่ายยามฉุกเฉิน ช่วยลดโอกาสการรบกวนเงินลงทุนเพื่ออนาคตมาใช้จ่าย หรือการก่อหนี้เพิ่ม
อัตราส่วนหนี้สินต่อสินทรัพย์
คือ ความมั่นคงทางการเงินของเรา สูตรนี้คำนวณจาก หนี้สิน/สินทรัพย์ และควรมีไม่เกิน 0.5 เช่น เรามีหนี้สิน 1,000,000 บาท มีสินทรัพย์ 2,000,000 บาท จะคำนวณได้ 1,000,000/2,000,000 = 0.5 แปลว่า เรามีความมั่นคงทางการเงิน ช่วยเพิ่มโอกาสให้สินทรัพย์เราเติบโตมากขึ้น ไม่ต้องพะวงกับภาระดอกเบี้ยมากนัก
อัตราส่วนแสดงความสามารถในการชำระหนี้
สูตรนี้เน้นไปที่ยอดหนี้ที่จะถึงดีล เช่น ยอดหนี้ที่ต้องผ่อนชำระ หรือยอดหนี้ที่ต้องปิด อาจจะมองเป็น 1 เดือน, 3 เดือน, 6 เดือน หรือ 12 เดือน ข้างหน้าก็ได้ โดยสูตรนี้คำนวณจาก จำนวนหนี้ที่ต้องชำระ/รายได้ และควรมีน้อยที่สุด เช่น เรามีหนี้ที่ต้องชำระ 5,000 บาท ใน 1 เดือน ข้างหน้า แล้วคาดว่าจะมีรายได้เข้ามา 30,000 บาท ก็จะคำนวณได้ 5,000/30,000 = 0.167 แปลว่า มียอดหนี้ที่ต้องชำระน้อยเมื่อเทียบกับรายได้ ช่วยลดโอกาสในการนำเงินเก็บออกมาใช้หนี้ หรือก่อหนี้เพิ่ม เพื่อความไม่ประมาท ควรคำนวณล่วงหน้าไว้สัก 12 เดือน จะได้อุ่นใจว่ามีรายได้พอใช้หนี้แน่ๆ
ลองเช็กความแข็งแรงทางการเงิน ถ้าใครที่ได้ตามเกณฑ์ทั้งหมด ก็ถือว่ามีความแข็งแรงทางการเงินดี แต่ถ้าใครมีข้อไหนไม่ถึงเกณฑ์ ก็ต้องลองหาทางเพิ่มความแข็งแรง และหมั่นดูแลสุขภาพทางการเงินให้มากขึ้น
ที่มา: ธปท.,ธ.กรุงศรีอยุธยา