สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงาน พชร อนันตศิลป์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ กล่าวเมื่อวันพุธ (14 ก.พ.) ว่า “กระทรวงการคลังกำลังเตรียมสรุปผลการวิเคราะห์ต้นทุน-ผลประโยชน์ รวมถึงขั้นตอนอื่น ๆ เพื่อเสนอให้รัฐบาลพิจารณาภายในเดือนพ.ค. นี้
โดยวัตถุประสงค์ในการออกพันธบัตรครั้งนี้ เพื่อเป็นเกณฑ์อ้างอิงให้กับภาคธุรกิจที่ไปออกหุ้นกู้หรือระดมทุนในต่างประเทศ" โดยแต่ละปีทางการไทยซึ่งมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นิยมระดมทุนจากต่างประเทศหลายพันล้านดอลลาร์ มาอุดช่องว่างงบประมาณและใช้สำหรับการลงทุนในประเทศเนื่องจากอัตราดอกเบี้ยต่ำ ในปี 2565 สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะหั่นการออกพันธบัตรสกุลเงินดอลลาร์ออกครึ่งหนึ่ง
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะตลาดพันธบัตรผันผวน แต่นายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ผู้รับตำแหน่งเมื่อหกเดือนก่อนพยายามผลักดันแผนดังกล่าว เพื่อระดมเงินผ่านกองทุนทั่วโลก มาใช้ในโครงการด้านความยั่งยืน “ตัวเลือกที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุด น่าจะเป็นพันธบัตรสกุลเงินดอลลาร์ ซึ่งเป็นเกณฑ์มาตรฐานที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย
ขณะที่เดือนก่อน จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ทางการกำลังพิจารณาอย่างรอบคอบเรื่องการขายพันธบัตรสกุลเงินดอลลาร์ เยน หรือหยวน ที่ตั้งใจจะออกในหนึ่งหรือสองปีข้างหน้า ขณะที่ดอกเบี้ยพันธบัตรสกุลเงินดอลลาร์สูงกว่าไทย แต่ดอกเบี้ยหยวนหรือเยนถูกกว่าหรือใกล้เคียงกัน นายพชรกล่าวด้วยว่าพันธบัตร 10 ปีของสหรัฐผลตอบแทนอยู่ที่ราว 4.24% เทียบกับพันธบัตรสกุลเงินบาท ผลตอบแทน 2.55% ส่วนพันธบัตรหยวนของรัฐบาลจีนอยู่ที่ 2.3%ต้นทุนรวมในการออกพันธบัตรของไทย ในสกุลเงินอื่น ๆ รวมถึงสกุลเงินเยนจะสูงกว่าต้นทุนการออกเป็นสกุลเงินอื่น ๆ เนื่องจากอัตราแลกเปลี่ยนและค่าธรรมเนียมต่างๆ
ทั้งนี้ กระบวนขายพันธบัตรสกุลเงินต่างประเทศน่าจะนำไปใช้ทำโครงการด้านความยั่งยืนเพื่อเพิ่มมูลค่าให้เศรษฐกิจไทย ปีก่อน นายเศรษฐา ได้พบกับนายลาร์รี ฟิงค์ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ BlackRock เพื่อศึกษาแนวทางในการลงทุนในประเทศไทย รวมถึงเชิญชวนให้เข้ามาลงทุนในพันธบัตร