วานนี้ ( 9 สิงหาคม 2566 ) มีการประชุม กสทช. ครั้งที่ 16/2566 กสทช.4 คน คือ พลอากาศโท ธนพันธุ์ หร่ายเจริญ (ด้านกระจายเสียง), พิรงรอง รามสูต (ด้านโทรทัศน์), ศุภัช ศุภชลาศัย (ด้านเศรษฐศาสตร์) และสมภพ ภูริวิกรัยพงศ์ (ด้านกิจการโทรคมนาคม) ได้ทวงถามประธาน กสทช. สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ เรื่องการเปลี่ยนตัวรักษาการเลขาธิการตามมติบอร์ดเสียงข้างมาก ครั้งที่ 13/2566 เมื่อวันศุกร์ที่ 9 มิ.ย. 2566
ที่ให้ “ภูมิศิษฐ์ มหาเวศน์ศิริ” รองเลขาธิการด้านกิจการ กระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ ปฏิบัติหน้าที่รักษาการเลขาธิการ กสทช. แทน ไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล แต่ประธาน กสทช.ยืนยันว่าจะยังไม่ลงนามคำสั่งตามมติที่ประชุมโดยอ้างว่าเป็นอำนาจของประธาน ไล่เลียงไทม์ไลน์สรรหา ‘เก้าอี้ เลขาฯ กสทช.’
เมื่อ กสทช.ทั้ง 4 คนตามรายชื่อข้างต้นได้เสนอว่าประธานควรให้มีการลงมติตามระเบียบดังกล่าวซึ่งมีความชัดเจน นายสรณ ก็ไม่ยินยอมและยังยืนยันให้มีการทบทวนมติของบอร์ด กสทช. ชุดที่แล้วในเรื่องนี้ เพื่อให้ต้องใช้เสียงมากกว่าสองในสาม
การประชุมจึงดำเนินไปโดยประธานเสนอให้ส่งเรื่องไปให้คณะกรรมการกฤษฏีกาตีความ แต่บอร์ดเสียงข้างมากไม่เห็นด้วยเนื่องจากเป็นระเบียบภายในที่กสทช.มีความเชี่ยวชาญมากที่สุด ณ จุดนี้ ประธานจึงขอพักการประชุม แม้บอร์ด 4 คน จะไม่เห็นด้วยแต่ประธาน กสทช. ก็ประกาศว่าขอพัก การประชุมเป็นเวลา 20 นาทีและเดินออกจากห้องไป ระหว่างที่ กสทช.บางคนออกไปพักนั้น นายสรณ ได้กลับเข้ามาในที่ประชุมและกล่าวใส่ไมโครโฟนว่า ขอปิดการประชุม ก่อนจะรีบรุดออกจากที่ประชุม และนั่งรถที่จอดรออยู่ออกไปจากสำนักงานทันที
ที่ให้ “ภูมิศิษฐ์ มหาเวศน์ศิริ” รองเลขาธิการด้านกิจการ กระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ ปฏิบัติหน้าที่รักษาการเลขาธิการ กสทช. แทน ไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล แต่ประธาน กสทช.ยืนยันว่าจะยังไม่ลงนามคำสั่งตามมติที่ประชุมโดยอ้างว่าเป็นอำนาจของประธาน ไล่เลียงไทม์ไลน์สรรหา ‘เก้าอี้ เลขาฯ กสทช.’
- มติที่ประชุม กสทช. ก่อนหน้านี้ (ครั้งที่ 13/2566 เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2566 ) เห็นชอบให้เปลี่ยนตัวรักษาการเลขาธิการ จากไตรรัตน์ รองเลขาธิการสายงานยุทธศาสตร์และกิจการองค์กร เป็นภูมิศิษฐ์ รองเลขาธิการ สายงานกิจการกระจายเสียงและโทรทัศน์ สืบเนื่องจากการที่ไตรรัตน์ ถูกคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง 4 ใน 6 เสียงตัดสินว่าอาจจะมีความผิดจากกรณีอนุมัติเงินสนับสนุนบอลโลก 600 ล้านบาท และไม่ปฏิบัติตามกฎมัสต์แคร์รี่ (Must Carry ) จึงควรมีการสอบสวนทางวินัยและหยุดปฏิบัติหน้าที่ในช่วงระหว่างนั้น
- ระหว่างการประชุมได้มีการหยิบยกบันทึกข้อความจากภูมิศิษฐ์ ที่ขอให้ที่ประชุม กสทช. วินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นดังกล่าวเนื่องจากยังไม่มีการดำเนินการตามมติ และไตรรัตน์ยังคงปฏิบัติหน้าที่บริหารจัดการและลงนามในหนังสือ คำสั่งและประกาศสำคัญต่าง ๆ ในฐานะรักษาการแทนเลขาธิการ กสทช. อย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่วันที่ 21 มิถุนายน 2566 จนถึงปัจจุบัน แม้ว่ามติให้เปลี่ยนตัวรักษาการเลขาธิการฯ ดังกล่าวจะได้ผ่านการรับรองในการรับรองรายงานการประชุมเรียบร้อยแล้วก็ตาม
- ที่ประชุมได้อ้างถึง ระเบียบคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ว่าด้วยการรักษาการแทน การปฏิบัติการแทน และการปฏิบัติงานเฉพาะอย่างแทนในตำแหน่งเลขาธิการ กสทช. และพนักงานของสำนักงาน กสทช. พ.ศ. 2555 ข้อ 16 ที่ระบุว่า
- หลังการประชุมดำเนินไปประมาณ 4 ชั่วโมง เวลาประมาณ 13.30 น. เมื่อถึงการลงมติเรื่องการปรับโครงสร้างสำนักงานกสทช.ตามวาระที่ 4.43 (ร่าง) โครงสร้างของสำนักงาน กสทช. ซึ่งรวมถึงการเปลี่ยน แปลงอัตราตำแหน่งของบุคลากรและงบประมาณของสำนักงาน กสทช. นั้น
- ประธาน กสทช. กลับขอให้มีการไปทบทวนมติของ กสทช. ในเรื่องเดียวกันเมื่อปี 2562 ซึ่งเป็นสมัยของบอร์ดชุดที่แล้วก่อน โดยย้ำว่าจะต้องใช้เสียงกรรมการไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 เพื่อพิจารณาใหม่ตามข้อ 45 ระเบียบ กสทช. ว่าด้วยข้อบังคับการประชุม กสทช. พ.ศ. 2555 ซึ่งในประเด็นนี้ได้มีการอภิปรายกันอย่างกว้างขวาง
- พลอากาศโท ธนพันธุ์ หร่ายเจริญ ประธานคณะทำงานการปรับปรุงโครงสร้างสำนักงาน กสทช. ได้พยายามอธิบายความหมายของการทบทวนมติและการพิจารณาใหม่ว่าไม่เข้ากับในกรณีนี้ และให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า การปรับปรุงโครงสร้างสำนักงาน กสทช. เป็นการมอบหมายโดยมติ กสทช. เพื่อนำพาสำนักงานไปสู่การเป็นสำนักงานที่กำกับดูแลกิจการการสื่อสารในลักษณะหลอมรวม เหมือนกฎหมาย กสทช. ที่มีการปรับปรุงใหม่และลักษณะของบอร์ด กสทช.ในปัจจุบันที่มีลักษณะหลอมรวมมากขึ้น จึงไม่ใช่การหยิบยกประเด็นซึ่งที่ประชุมมีมติแล้วขึ้นมาพิจารณาใหม่ที่จะต้องใช้เสียงกรรมการไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 แต่อย่างใด
- ที่ผ่านมา คณะทำงานปรับโครงสร้างสำนักงานกสทช. ได้ถูกจัดตั้งขึ้นและดำเนินการตามมติการประชุม กสทช. ครั้งที่ 17/2565 เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2565 ที่เห็นชอบให้มีการปรับโครงสร้างสำนักงานฯ และมติการประชุม กสทช.นัดพิเศษ ครั้งที่ 4/2566 เมื่อวันที่ 20 ก.พ. 2566 ที่ได้เห็นชอบและให้ความคิดเห็นเพิ่มเติมต่อแนวทางการปรับปรุงโครงสร้างฯ ตามที่ประธานคณะทำงานนำเสนอ ตลอดจนได้จัดประชุมรับฟังความเห็น โดยคณะกรรมการ กสทช. และผู้บริหารได้เข้าร่วมเมื่อวันที่ 26 เม.ย. 2566 ก่อนที่ร่างการปรับปรุงจะถูกเสนอเข้าที่ประชุม กสทช. ในวันที่ 26 มิ.ย. 2566 และเลื่อนการพิจารณามาจนถึงวันที่ 9 ส.ค. 2566 เป็นเวลาเกือบสองเดือน
- การดำเนินการทั้งหมดเป็นไปตามมติและอยู่ในสายตาของบอร์ด กสทช. มาอย่างต่อเนื่อง และบอร์ด กสทช. สามารถลงมติต่อ (ร่าง) โครงสร้างของสำนักงาน กสทช. ที่ได้มีการปรับปรุงแล้วและเสนอเป็นวาระเพื่อพิจารณาได้ตามระเบียบ กสทช. ว่าด้วยข้อบังคับการประชุมฯ และ กสทช. สามารถลงมติวินิจฉัยชี้ขาดโดยใช้เสียงข้างมากของกรรมการผู้มาประชุมได้ตาม ข้อ 41 (1) ที่ระบุว่า “กรณีเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดเกี่ยวกับการใช้อำนาจตามกฎหมายว่าด้วยองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม มาตรา 27 (19) (23) และ (25) หรือเป็นกรณีการบริหารจัดการภายในตามความในมาตรา 58 ให้ใช้เสียงข้างมากของกรรมการผู้มาประชุม
เมื่อ กสทช.ทั้ง 4 คนตามรายชื่อข้างต้นได้เสนอว่าประธานควรให้มีการลงมติตามระเบียบดังกล่าวซึ่งมีความชัดเจน นายสรณ ก็ไม่ยินยอมและยังยืนยันให้มีการทบทวนมติของบอร์ด กสทช. ชุดที่แล้วในเรื่องนี้ เพื่อให้ต้องใช้เสียงมากกว่าสองในสาม
การประชุมจึงดำเนินไปโดยประธานเสนอให้ส่งเรื่องไปให้คณะกรรมการกฤษฏีกาตีความ แต่บอร์ดเสียงข้างมากไม่เห็นด้วยเนื่องจากเป็นระเบียบภายในที่กสทช.มีความเชี่ยวชาญมากที่สุด ณ จุดนี้ ประธานจึงขอพักการประชุม แม้บอร์ด 4 คน จะไม่เห็นด้วยแต่ประธาน กสทช. ก็ประกาศว่าขอพัก การประชุมเป็นเวลา 20 นาทีและเดินออกจากห้องไป ระหว่างที่ กสทช.บางคนออกไปพักนั้น นายสรณ ได้กลับเข้ามาในที่ประชุมและกล่าวใส่ไมโครโฟนว่า ขอปิดการประชุม ก่อนจะรีบรุดออกจากที่ประชุม และนั่งรถที่จอดรออยู่ออกไปจากสำนักงานทันที