‘กกพ.’ เคาะค่าเอฟทีรอบ ม.ค. - เม.ย. 67 ที่ 39.72 สตางค์ต่อหน่วย ส่งผลค่าไฟฟ้าประชาชนทั่วไปจ่าย 4.18 บาทต่อหน่วย ตามมติ ครม. โดยดึงจากงบกลาง รายการสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉิน วงเงินรวม 1,950 ล้านบาท
คมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ในฐานะโฆษกคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เผย มติ กกพ. (10 มกราคม) เห็นชอบเอฟทีขายปลีกเรียกเก็บสำหรับงวดเดือนมกราคม-เมษายน 2567 จำนวน 39.72 สตางค์ต่อหน่วย ตามสูตรการคำนวณเอฟที ส่งผลค่าไฟฟ้าประชาชนทั่วไปจ่าย 4.18 บาทต่อหน่วย
ทั้งนี้ ได้ปรับปรุงการคำนวณดังกล่าวตามมาตรการลดค่าไฟฟ้าของกระทรวงพลังงานที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เห็นชอบตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบในการประชุม ครม. เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2566
ขณะที่ รัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยการลดค่าไฟครั้งนี้ รมว.พลังงาน ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ บอก แม้ค่าก๊าซจะเพิ่มสูงขึ้นกว่ารอบที่แล้วมาก แต่ กกพ. กฟผ. ปตท. ทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องได้ประสาน-ติดตาม ให้การสนับสนุนข้อเสนอของกระทรวงพลังงานประสบความสำเร็จ อนุมัติงบกลางเพื่อช่วยยืนอัตราค่าไฟฟ้าให้พี่น้องประชาชน 17.77 ล้านรายที่ ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วย ในอัตราค่าใช้ไฟฟ้าเดิมที่ 3.99 บาทต่อหน่วย หลังจากนี้ จะมีการรายงานให้ ครม. ได้รับทราบต่อไป ทั้งนี้ประชาชนทั่วไปบิลค่าไฟเดือนมกราคม ก็อยู่ในอัตรา หน่วยละ 4.18 บาท ทันที โดยถือเป็นความตั้งใจของรัฐบาลที่ได้ ‘ทำแล้ว’ ตามสัญญา เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของกลุ่มเปราะบาง ที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน ได้เริ่มดำเนินการไปแล้ว โดยงวด ม.ค.-เม.ย. 2567 คงไว้ที่อัตราเดิม 3.99 บาท/หน่วย จำนวน 17.7 ล้านครัวเรือน ทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นมาตรการที่รัฐบาลชุดนี้ดำเนินการเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายประชาชนอย่างต่อเนื่อง