กระแสรถยนต์ไฟฟ้า 100% (BEV) มาแรงเกินต้าน หลังภาครัฐออกนโยบาย ‘อัดฉีด’ กระตุ้นตลาดในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
แต่รู้หรือไม่ ถ้าแนวโน้มการเติบโตยังอยู่ในระดับนี้ อีก 5 ปีข้างหน้า (พ.ศ.2572) พลังงานไฟฟ้าจะถูกใช้จนล้นเกิน (ถ้ารถ BEV ทั้งหมดชาร์จไฟพร้อมกัน) จากแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP) ที่วางไว้เมื่อ พ.ศ.2561
เพราะถึงเวลานั้น รถยนต์ไฟฟ้า (BEV) จะมีราว 1.7 ล้านคัน
แม้ตัวเลข #หลักล้าน ดังกล่าวจะดูเยอะ แต่เมื่อเทียบกับจำนวน ‘รถยนต์ส่วนบุคคล’ ที่จดทะเบียนสะสมทั่วประเทศ ปี 2566 (19,293,420 คัน) คิดเป็น 8.8% เท่านั้น
หากดูกระแสยอดจองรถในงาน Motor Show 2024 ที่ผ่านมา จะเห็นว่า คลื่นรถยนต์ไฟฟ้าก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ด้วยแรงหนุนจากนโยบาย EV3.5 และราคาน้ำมันที่แช่ตัวอยู่ในระดับสูง
โดยยอดจองรถยนต์ทั้งหมด 53,438 คัน
แบ่งเป็น รถยนต์ไฟฟ้า (EV) 17,517 คัน คิดเป็น 32.78%
หรือราว 1/3 ของรถยนต์ทั้งหมด
เวลานี้รถยนต์ไฟฟ้าคือเครื่องจักรเศรษฐกิจตัวใหม่ และเป็นความหวังในการสร้างอุตสาหกรรมของไทยในยุคต่อไป
ยอดการเติบโตในระดับนี้ เป็นสัญญาณที่ดีของนักลงทุน และบ่งบอกอนาคตที่สดใสของตลาด EV
แต่ EV ไม่ได้เป็นสิ่งที่ยืนอย่างโดดเดี่ยว ทว่าสัมพันธ์กับระบบนิเวศตลอดสายการผลิตและบริโภค ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ ‘พลังงานไฟฟ้า’ ที่เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงทุกสิ่งในโลกยุคใหม่ โลกที่ทุกสิ่ง ไม่ว่าระบบเศรษฐกิจ ชีวิต และสังคม ถูกย้ายไปอยู่ในรูปแบบไฟล์ดิจิทัล

คำถามคือ ถ้าการเติบโตของ EV มากินส่วนแบ่งพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้ จนนำไปสู่ภาวะพลังงานไฟฟ้าไม่เพียงพอ ถึงตอนนั้นทุกสิ่งจะหยุดชะงัก ราวกับอยู่ในภาวะขาดออกซิเจน
แน่นอน นี่คือฝันร้ายที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น เพราะมีราคาที่ต้องจ่ายแพงเกินไป ซึ่งป้องกันได้ด้วยการหลีกเลี่ยงที่สาเหตุ ด้วยการกลับไปทบทวนแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP) ที่วางไว้
เพราะนี่คือเรื่องใหญ่ ไม่ใช่แค่ EV แต่หมายถึงเศรษฐกิจทั้งระบบและคุณภาพชีวิตผู้คนทั้งประเทศ