บิตคอยน์ สกุลเงินดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุด ทำนิวไฮใหม่ได้ต่อเนื่อง โดยเฉพาะตั้งแต่ช่วงเช้าวันพฤหัสบดี (21 พ.ย.67) ที่ผ่านมา โดยทะลุระดับ 98,000 ดอลลาร์ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ซึ่งยังคงพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา และ โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ ตัวแทนจากพรรครีพับลิกัน เป็นผู้กำชัยชนะ เป็นผลบวกกับตลาดคริปโท หลังเป็นส่วนหนึ่งของการจุดประกายให้เกิดความหวังว่า รัฐบาลสหรัฐของเขาจะสร้างกฎระเบียบที่เป็นมิตรกับตลาดสกุลเงินดิจิทัล ซึ่งแม้กำหนดการเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของเขา จะเกิดขึ้นในวันที่ 20 มกราคม 2025 แต่ราคาบิตคอยน์ ก็ยังพุ่งไม่หยุด
ย้อนดูช่วงที่ราคาบิตคอยน์ราคาลดต่ำ ช่วงปลายปี 2022 โดยลดลงต่ำกว่า 16,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 555,215 บาท ก่อนที่สถานการณ์จะดีขึ้นหลังได้รับแรงหนุนจากการที่คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐอเมริกา (SEC) ประกาศอนุมัติให้บิตคอยน์ที่จดทะเบียนในสหรัฐถูกกฎหมายอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา บิตคอยน์มีมูลค่าเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าในปีนี้และมีมูลค่าเพิ่มขึ้นราว 40% ในช่วง 2 อาทิตย์หลังจากที่ทรัมป์ได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ และสมาชิกสภานิติบัญญัติหลายคนที่มีจุดยืนสนับสนุนสกุลเงินดิจิทัลก็ได้รับเลือกให้มีที่นั่งในสภาคองเกรสเช่นกัน นั่นจึงทำให้นักวิเคราะห์ทั้งในและต่างประเทศ เชื่อมั่นว่า บิตคอยน์ พุ่งแตะ 100,000 ดอลล่าร์สหรัฐได้ ในไม่ช้า
นายนิรันดร์ ฟูวัฒนานุกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ของแพลตฟอร์มศูนย์ซื้อขายและนายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ไบแนนซ์ ทีเอช บาย กัลฟ์ ไบแนนซ์ (BINANCE TH) กล่าวถึงสถานการณ์ราคาบิตคอยน์ ที่เข้าใกล้ 100,000 ดอลลาร์สหรัฐขณะนี้ ว่า การที่บิทคอยน์แตะระดับราคา 100,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อเหรียญ ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่ตอกย้ำถึงการเติบโตของสินทรัพย์ดิจิทัลในฐานะเครื่องมือทางการเงินกระแสหลักได้อย่างแท้จริง ด้วยมูลค่าตลาดรวมที่สูงถึง 2.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ บิทคอยน์จึงกลายเป็นหนึ่งในเจ็ดสินทรัพย์หรือบริษัทที่มีมูลค่าสูงสุดในโลก เช่นเดียวกับทองคำ และบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง NVIDIA, Apple และ Microsoft
ความสำเร็จครั้งนี้เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงปัจจัยเชิงโครงสร้างหลายด้าน ทั้งการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลให้สภาพคล่องในตลาดโลกเพิ่มขึ้น และความต้องการที่เพิ่มขึ้นของนักลงทุนต่อสินทรัพย์ที่ทนทานต่อเงินเฟ้อ เช่น บิทคอยน์ ที่มีจำนวนจำกัดเพียง 21 ล้านเหรียญ
ซีอีโอ ไบแนนซ์ ทีเอช บาย กัลฟ์ ไบแนนซ์ มอง นโยบายที่เป็นมิตรต่อคริปโทในสหรัฐ ภายใต้รัฐบาลทรัมป์ เป็นแรงหนุนสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นนโยบายผลักดันให้สหรัฐฯ กลายเป็นศูนย์กลางคริปโตระดับโลก หรือแผนการจัดตั้งคลังสำรองบิทคอยน์แห่งชาติ สิ่งเหล่านี้ช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นของนักลงทุน นอกจากนี้ การที่บริษัทชั้นนำอย่าง MicroStrategy ถือครองบิทคอยน์ถึง 1.5% ของจำนวนทั้งหมด ยังสะท้อนให้เห็นว่าองค์กรขนาดใหญ่เริ่มมองบิทคอยน์เป็นสินทรัพย์สำรองเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญ
การเปิดตัว Bitcoin ETFs และผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น Bitcoin ETF Options ก็มีบทบาทสำคัญในการทำให้บิทคอยน์เข้าถึงกลุ่มนักลงทุนสถาบันได้ง่ายขึ้น ช่วยให้นักลงทุนจัดการความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้เงินทุนหลั่งไหลเข้าสู่ตลาดคริปโตด้วยเช่นกัน
“วันนี้ บิทคอยน์ไม่ได้เป็นเพียงสินทรัพย์เฉพาะกลุ่มอีกต่อไป แต่ได้กลายเป็นส่วนสำคัญของระบบการเงินกระแสหลัก บริษัทชั้นนำและรัฐบาลในหลายประเทศเริ่มให้ความสนใจในบิทคอยน์มากขึ้น ซึ่งสะท้อนถึงบทบาทสำคัญในอนาคตของระบบการเงินโลก BINANCE TH มีความภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมในช่วงเวลาสำคัญนี้ และพร้อมที่จะสนับสนุนการเข้าถึงสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างเท่าเทียมสำหรับทุกคนต่อไป”
ซีอีโอ ไบแนนซ์ ทีเอช บาย กัลฟ์ ไบแนนซ์ กล่าว
