เส้นตายในการประชุมเจ้าหนี้สิ้นเดือนกันยายน ทำให้ JKN ต้องดิ้นทุกช่องทางหาเงินเร็วที่สุด มากที่สุด ด้วยการเปิดทางให้กลุ่มทุนใหม่เข้ามา แต่.....มรสุมลูกต่อไป อย่างน้อย 2 หน่วยงานกำกับดูแล กำลังเข้ามาตรวจสอบ
วิบากกรรม ของ แอน-จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ฉายาหญิงข้ามเพศพันล้าน ยังคงไม่จบสิ้นลงไปง่ายๆ ถึงแม้ความพยายามในการแก้ไขปัญหาเรื่อง กับดักสภาพคล่อง Liquidity Trap หรือ Liquidity Mismatch ที่แอนพยายามอธิบายกับสาธารณะ ถึงปัญหาเรื่องการผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ จำนวน 600 ล้านบาท เมื่อช่วงสิ้นเดือนที่ผ่านมาจะคลี่คลายไปในระดับหนึ่ง หลังจาก กลุ่ม JKN Global Group สามารถทำความตกลงกับ กลุ่ม TOPNEWS ของ สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม ในการเข้ามาเทคโอเวอร์ JKN 18 ได้เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา
คาดว่า ดีล การเข้ามาของ TOPNEWS น่าจะทำให้ JKN ได้รับผลตอบแทนมาจำนวนหนึ่ง หลัก 500 ล้านบาท ที่น่าจะทยอยจ่าย ที่คงมากพอที่จะนำไปอธิบายกับบรรดาเจ้าหนี้หุ้นกู้ในวันที่ 27 กันยายนนี้ เพื่อขอเจรจายืดการชำระหนี้ส่วนที่เหลืออีกราว 453 ล้านบาทออกไปอีกระยะหนึ่ง เพื่อไม่ให้ถูกโหวตให้ผิดนัดชำระหนี้ Call Default และต้องจ่ายหนี้ที่ครบกำหนดทั้งหมด และส่งผลกระทบไปถึง หนี้หุ้นกู้ก้อนอื่นๆ ที่เหลืออยู่รวมๆ กว่า 2.6 พันล้านบาท ที่จะถูก Cross Default ไถ่ถอนก่อนครบกำหนด
เพราะเหตุนี้จึงทำให้ราคาหุ้นของ JKN เริ่มตีกลับ ฟื้นตัวขึ้นจากที่ทรุดหนักมาถึงจุดต่ำสุดที่หุ้นละ 1.05 บาท เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 7 กันยายนที่ผ่านมา โดยปรับตัวขึ้นในวันศุกร์ และในวันจันทร์ ที่ 11 กันยายนโดยขึ้นไปสูงสุด ที่ระดับ 1.38 บาท ก่อนที่ปรับลงมาอยู่ที่ระดับ หุ้นละ 1.35 บาท
การแก้ปัญหาดังกล่าว ถึงแม้จะทำให้ กลุ่ม JKN ลดต้นทุนในการดำเนินการธุรกิจลงไป แต่ก็อาจจะเป็นเพียงการแก้ปัญหาระยะสั้น เพราะปัญหาหนักที่รออยู่ คือ การหารายได้ช่วงที่เหลือของปีนี้ และปีหน้ามาให้เพียงพอที่จะจ่ายหนี้หุ้นกู้ที่จะทยอยครบกำหนด ในส่วนที่เหลือได้หรือไม่ เพราะทางออกในการระดมทุนผ่านการเพิ่มทุน หรือออกหุ้นกู้ล็อตใหม่ คงถูกปิดตายไปโดยสิ้นเชิงในเวลานี้
รายได้หลัก ที่ยังเป็นโจทย์ยาก แต่คงต้องหันกลับมาให้ความสำคัญอย่างจริงจังก็คือ รายได้จากการขายลิขสิทธิ์ บรรดา สารคดี ซีรีย์อินเดีย และที่สำคัญคือ รายได้จาก องค์กรนางงามจักรวาล หรือ MUO ที่เป็นเสมือน เพชรยอดมงกุฎ สิ่งทีต้องรักษาเอาไว้สุดชีวิตของ แอน-จักรพงษ์ ที่จะสามารถสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำได้จริงหรือ
อย่างไรก็ตาม อาจจะมีเรื่องที่ JKN และแอน-จักรพงษ์ และ TOPNEWS อาจจะต้องตอบคำถามกับ กสทช. หรือ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ที่เป็นผู้ดูแลในเรื่องสถานีโทรทัศน์ดิจิตอล ที่ไม่อนุญาตให้ขายใบอนุญาต ยกเว้นจะร่วมผลิต หรือ เช่าเวลา ซึ่งก็ต้องมีสัดส่วนไม่เกินที่ กสทช.กำหนด
ยิ่งไปกว่านั้น อาจมีเรื่องที่ต้องกังวลมากขึ้น เมื่อเริ่มมีกระแสข่าวว่า หน่วยงานด้านกำกับตลาดทุน อย่าง กลต. หรือ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ตลท. เริ่มเข้ามาตรวจสอบในเชิงลึก เกี่ยวกับปัญหาของ JKN ในขณะนี้ เพราะเกรงว่าจะเกิดเหตุการณ์คล้ายหลายๆ กรณีที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ โดยเฉพาะเรื่องตัวเลขในงบการเงิน และผลการดำเนินงาน ซึ่งบรรดานักวิเคราะห์ในหลายสถาบันการเงินก็เริ่มกล่าวถึง และตั้งข้อสังเกตไปแล้วหลายเรื่อง
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสินทรัพย์ที่มีสูงถึง 1.2 หมื่นล้านบาท แต่ส่วนใหญ่กว่าครึ่งคือราว 7.7 พันล้านบาท เป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีตัวตน คือ ค่าลิขสิทธิ์ สารคดี และซีรีย์ อินเดีย นอกจากนี้ยังมีค่า Goodwill อีกราว 700 กว่าล้านบาท ทำให้มีคำถามเรื่องการตีมูลค่าของสินทรัพย์เหล่านี้
อีกสิ่งที่น่าแปลกใจก็คือ ในขณะที่มีการลงทุนอย่างต่อเนื่องในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เป็นเงินรวมๆ กว่า 2 พันล้านบาท และมีการระดมทุน โดยการเพิ่มทุนและออกหุ้นกู้เป็นจำนวนมาก แต่ทำไมจึงปล่อยให้มีลูกหนี้การค้าสูงถึง 2.3 พันล้านบาท โดยเฉพาะลูกหนี้ที่ค้างชำระเกินกว่า 3 เดือนที่มีสูงถึงกว่า 900 ล้านบาท ทั้งๆ ที่มีลูกหนี้รายใหญ่ๆ เพียง 15 ราย โดยเป็นลูกหนี้ในประเทศ 9 ราย และต่างประเทศ 6 ราย
เรื่องหล่านี้ อาจจะเป็นเรื่องที่ JKN และบริษัทผู้ตรวจสอบบัญชี อย่างบริษัทสอบบัญชีธรรมนิติ ของไพศาล พืชมงคล ที่ตั้งข้อสังเกตไว้ในงบการเงินล่าสุด อาจจะต้องเตรียมตอบคำถามกับหน่วยงานกำกับในเร็วๆ นี้
วิบากกรรม ของ แอน-จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ฉายาหญิงข้ามเพศพันล้าน ยังคงไม่จบสิ้นลงไปง่ายๆ ถึงแม้ความพยายามในการแก้ไขปัญหาเรื่อง กับดักสภาพคล่อง Liquidity Trap หรือ Liquidity Mismatch ที่แอนพยายามอธิบายกับสาธารณะ ถึงปัญหาเรื่องการผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ จำนวน 600 ล้านบาท เมื่อช่วงสิ้นเดือนที่ผ่านมาจะคลี่คลายไปในระดับหนึ่ง หลังจาก กลุ่ม JKN Global Group สามารถทำความตกลงกับ กลุ่ม TOPNEWS ของ สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม ในการเข้ามาเทคโอเวอร์ JKN 18 ได้เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา
คาดว่า ดีล การเข้ามาของ TOPNEWS น่าจะทำให้ JKN ได้รับผลตอบแทนมาจำนวนหนึ่ง หลัก 500 ล้านบาท ที่น่าจะทยอยจ่าย ที่คงมากพอที่จะนำไปอธิบายกับบรรดาเจ้าหนี้หุ้นกู้ในวันที่ 27 กันยายนนี้ เพื่อขอเจรจายืดการชำระหนี้ส่วนที่เหลืออีกราว 453 ล้านบาทออกไปอีกระยะหนึ่ง เพื่อไม่ให้ถูกโหวตให้ผิดนัดชำระหนี้ Call Default และต้องจ่ายหนี้ที่ครบกำหนดทั้งหมด และส่งผลกระทบไปถึง หนี้หุ้นกู้ก้อนอื่นๆ ที่เหลืออยู่รวมๆ กว่า 2.6 พันล้านบาท ที่จะถูก Cross Default ไถ่ถอนก่อนครบกำหนด
เพราะเหตุนี้จึงทำให้ราคาหุ้นของ JKN เริ่มตีกลับ ฟื้นตัวขึ้นจากที่ทรุดหนักมาถึงจุดต่ำสุดที่หุ้นละ 1.05 บาท เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 7 กันยายนที่ผ่านมา โดยปรับตัวขึ้นในวันศุกร์ และในวันจันทร์ ที่ 11 กันยายนโดยขึ้นไปสูงสุด ที่ระดับ 1.38 บาท ก่อนที่ปรับลงมาอยู่ที่ระดับ หุ้นละ 1.35 บาท
การแก้ปัญหาดังกล่าว ถึงแม้จะทำให้ กลุ่ม JKN ลดต้นทุนในการดำเนินการธุรกิจลงไป แต่ก็อาจจะเป็นเพียงการแก้ปัญหาระยะสั้น เพราะปัญหาหนักที่รออยู่ คือ การหารายได้ช่วงที่เหลือของปีนี้ และปีหน้ามาให้เพียงพอที่จะจ่ายหนี้หุ้นกู้ที่จะทยอยครบกำหนด ในส่วนที่เหลือได้หรือไม่ เพราะทางออกในการระดมทุนผ่านการเพิ่มทุน หรือออกหุ้นกู้ล็อตใหม่ คงถูกปิดตายไปโดยสิ้นเชิงในเวลานี้
รายได้หลัก ที่ยังเป็นโจทย์ยาก แต่คงต้องหันกลับมาให้ความสำคัญอย่างจริงจังก็คือ รายได้จากการขายลิขสิทธิ์ บรรดา สารคดี ซีรีย์อินเดีย และที่สำคัญคือ รายได้จาก องค์กรนางงามจักรวาล หรือ MUO ที่เป็นเสมือน เพชรยอดมงกุฎ สิ่งทีต้องรักษาเอาไว้สุดชีวิตของ แอน-จักรพงษ์ ที่จะสามารถสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำได้จริงหรือ
อย่างไรก็ตาม อาจจะมีเรื่องที่ JKN และแอน-จักรพงษ์ และ TOPNEWS อาจจะต้องตอบคำถามกับ กสทช. หรือ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ที่เป็นผู้ดูแลในเรื่องสถานีโทรทัศน์ดิจิตอล ที่ไม่อนุญาตให้ขายใบอนุญาต ยกเว้นจะร่วมผลิต หรือ เช่าเวลา ซึ่งก็ต้องมีสัดส่วนไม่เกินที่ กสทช.กำหนด
ยิ่งไปกว่านั้น อาจมีเรื่องที่ต้องกังวลมากขึ้น เมื่อเริ่มมีกระแสข่าวว่า หน่วยงานด้านกำกับตลาดทุน อย่าง กลต. หรือ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ตลท. เริ่มเข้ามาตรวจสอบในเชิงลึก เกี่ยวกับปัญหาของ JKN ในขณะนี้ เพราะเกรงว่าจะเกิดเหตุการณ์คล้ายหลายๆ กรณีที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ โดยเฉพาะเรื่องตัวเลขในงบการเงิน และผลการดำเนินงาน ซึ่งบรรดานักวิเคราะห์ในหลายสถาบันการเงินก็เริ่มกล่าวถึง และตั้งข้อสังเกตไปแล้วหลายเรื่อง
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสินทรัพย์ที่มีสูงถึง 1.2 หมื่นล้านบาท แต่ส่วนใหญ่กว่าครึ่งคือราว 7.7 พันล้านบาท เป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีตัวตน คือ ค่าลิขสิทธิ์ สารคดี และซีรีย์ อินเดีย นอกจากนี้ยังมีค่า Goodwill อีกราว 700 กว่าล้านบาท ทำให้มีคำถามเรื่องการตีมูลค่าของสินทรัพย์เหล่านี้
อีกสิ่งที่น่าแปลกใจก็คือ ในขณะที่มีการลงทุนอย่างต่อเนื่องในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เป็นเงินรวมๆ กว่า 2 พันล้านบาท และมีการระดมทุน โดยการเพิ่มทุนและออกหุ้นกู้เป็นจำนวนมาก แต่ทำไมจึงปล่อยให้มีลูกหนี้การค้าสูงถึง 2.3 พันล้านบาท โดยเฉพาะลูกหนี้ที่ค้างชำระเกินกว่า 3 เดือนที่มีสูงถึงกว่า 900 ล้านบาท ทั้งๆ ที่มีลูกหนี้รายใหญ่ๆ เพียง 15 ราย โดยเป็นลูกหนี้ในประเทศ 9 ราย และต่างประเทศ 6 ราย
เรื่องหล่านี้ อาจจะเป็นเรื่องที่ JKN และบริษัทผู้ตรวจสอบบัญชี อย่างบริษัทสอบบัญชีธรรมนิติ ของไพศาล พืชมงคล ที่ตั้งข้อสังเกตไว้ในงบการเงินล่าสุด อาจจะต้องเตรียมตอบคำถามกับหน่วยงานกำกับในเร็วๆ นี้