กกร.ห่วง SMEs ชี้ ศก.ไทยฟื้นตัวช้า ถูกทุ่มตลาด

7 ก.พ. 2567 - 07:46

  • กกร. กังวล ปัญหาสินค้าราคาถูกเข้ามาทุ่มตลาดประเทศไทย ทำ SMEs แข่งยาก

  • เสนอรัฐทบทวนข้อยกเว้นการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และอีกหลายข้อ

  • มอง ศรษฐกิจไทยปี 2567 ฟื้นตัวได้ แต่ยังอ่อนแอ

jsccib-economic-sme-dumping-cheap-products-SPACEBAR-Hero.jpg

การประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ซึ่งมีนายทวี ปิยะพัฒนา รองประธานอาวุโส สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พร้อมนายจีรพันธ์ อัศวะธนกุล และนายกอบศักดิ์ ดวงดี เลขาธิการสมาคมธนาคารไทย ร่วมแถลง ชี้หลากประเด็นความกังวล โดยเฉพาะปัญหาสินค้าราคาถูกเข้ามาทุ่มตลาดประเทศไทย ซึ่งทำให้ภาคเอกชน โดยเฉพาะ SMEs แข่งขันยาก ในท่ามกลางเศรษฐกิจไทยที่เติบโตได้ช้าและยังต้องเผชิญความเสี่ยงสำคัญหลายด้าน ก่อนสรุปหลายข้อเสนอส่งรัฐพิจารณา 

โดยในมุม เศรษฐกิจไทย นั้น กกร.มองว่า ศรษฐกิจไทยปี 2567 ฟื้นตัวได้แต่ยังอ่อนแอ แม้ภาคการท่องเที่ยวเป็นปัจจัยหนุนเศรษฐกิจ แต่ภาคการผลิตหดตัวต่อเนื่อง ทำให้การฟื้นตัวไม่ทั่วถึง ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่ติดลบต่อเนื่อง เป็นสัญญาณความอ่อนแอของเศรษฐกิจในประเทศ ถือเป็นสัญญาณที่ควรติดตาม นอกจากนี้ ปัญหาเชิงโครงสร้างของไทยทำให้เศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัว และสินค้าไทยหลายรายการ เริ่มไม่เป็นที่ต้องการของตลาด

ขณะที่ภาคการส่งออกของไทย มีแนวโน้มขยายตัวประมาณ 2-3% ในปีนี้ ตามการฟื้นตัวของประเทศตลาดเกิดใหม่และวัฏจักรสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ อย่างไรก็ตาม ยังเผชิญความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์หลายปัจจัย ทั้ง 

1. การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นหลายประเทศ ซึ่งอาจเกิดการปรับเปลี่ยนทางนโยบายสำคัญ 
2. ผลกระทบจากสงครามที่ขยายวง โดยเฉพาะอิสราเอล-ฮามาส ที่ส่งผลให้ค่าระวางเรือเพิ่ม และกระทบกับราคาพลังงาน 
3. ปัญหาความไม่สงบในประเทศเพื่อนบ้าน และ 
4. การแข่งขันกับสินค้าจีนในประเทศเพื่อนบ้าน

jsccib-economic-sme-dumping-cheap-products-SPACEBAR-Photo01.jpg

ที่ประชุมฯ ยังสนับสนุน มาตรการการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพราะเล็งเห็นว่าจะช่วยแก้หนี้ให้กับประชาชนได้จริง แก้ได้ตรงจุดและยั่งยืน มีความต่อเนื่องในการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ตั้งแต่ช่วงโควิด-19 โดยภายใต้แนวทางมาตรการ Responsible Lending จะช่วยตั้งแต่ก่อนเป็นหนี้เสีย และระหว่างเป็นหนี้เสีย มุ่ง

เน้นความช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางเป็นอันดับต้นๆ เนื่องจากมีภาระหนี้สูงและรายได้ยังไม่ฟื้น ทำให้ไม่เพียงพอในการดำรงชีพ โดยขอให้ ธปท.ติดตามประเมินผลกระทบของมาตรการการเข้าถึงสินเชื่อด้วย เนื่องจากบางส่วนมีความจำเป็นดำรงชีพและประกอบอาชีพ นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับการให้ความรู้ทางการเงิน สร้างวินัยทางการเงินที่ดี เป็นพื้นฐานสำคัญในการวางแผนจัดการการเงินที่เหมาะสม ใช้สินเชื่อเท่าที่จำเป็นและตรงวัตถุประสงค์ ไม่ก่อหนี้เกินตัว ซึ่งเป็นการแก้หนี้ครัวเรือนที่เป็นปัญหาเรื้อรังของประเทศได้อย่างยั่งยืน 

นอกจากนี้ ไทยจำเป็นต้องเร่งขจัดความแตกต่างทางรายได้ระหว่างกลุ่มต่างๆ รวมถึงลดขนาดเศรษฐกิจนอกระบบลง และเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน โดยภาคธุรกิจจะต้องเร่งยกระดับประสิทธิภาพในการดำเนินงาน เพื่อเพิ่มศักยภาพ ตลอดจนส่งเสริมการแข่งขันอย่างเป็นธรรมกับธุรกิจขนาดเล็ก เพื่อให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างยั่งยืนและทั่วถึง 

กกร. ยังมีความกังวลกับปัญหาสินค้าราคาถูกที่เข้ามาทุ่มตลาดทั้งในไทยและอาเซียน ทั้งจากสินค้าออนไลน์ (E-commerce) และการเข้ามาใช้ประโยชน์จาก Free Trade Zone เพื่อขายสินค้าในประเทศ รวมถึงการลักลอบนำเข้าสินค้าผ่านด่านศุลกากรโดยการสำแดงข้อมูลเท็จเพื่อเลี่ยงภาษี ทำให้สินค้าราคาถูก รวมถึงสินค้าที่ไม่มีมาตรฐานทะลักเข้ามา กระทบต่อยอดขายสินค้าของผู้ประกอบการไทยโดยเฉพาะ SMEs ที่ไม่สามารถแข่งขันด้านต้นทุนได้

ดังนั้น กกร. จึงเสนอขอให้ภาครัฐทบทวนข้อยกเว้นจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สำหรับการซื้อสินค้าออนไลน์ที่ไม่เกิน 1,500 บาท เพื่อให้เกิดความยุติธรรมกับผู้ประกอบการไทย ทบทวนนโยบายและเงื่อนไขในการใช้สิทธิประโยชน์ใน Free Trade Zone รวมทั้งการออกมาตรการปกป้องผู้ประกอบการในประเทศ เช่น การนำมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนตลาด (Anti-

Circumvention: AC) มาบังคับใช้ การเพิ่มความเข้มงวดการตรวจจับสินค้าที่นำเข้าผ่านด่านศุลกากร และการเร่งออกมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมให้ครอบคลุม เป็นต้น

สำหรับประเด็นการท่องเที่ยว ที่แม้ในเดือนมกราคม 2567 นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาในประเทศกว่า 3 ล้านคน สร้างเม็ดเงินกว่า 1.7 แสนล้านบาท ทำให้เกิดแรงหนุนทางเศรษฐกิจผ่านการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว แต่ กกร.กังวลความหนาแน่นของจำนวนนักท่องเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวบางพื้นที่ เช่น ภูเก็ต จึงเสนอให้ภาครัฐช่วยจัดระเบียบ ช่วยส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ให้เกิดการท่องเที่ยวตามเมืองรองต่างๆ เพื่อลดความหนาแน่นและช่วยกระจายรายได้อย่างทั่วถึง รวมทั้งควรกระตุ้นนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เกิดการใช้จ่ายต่อหัวให้มากขึ้น

กกร. ยังมีข้อเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาการจัดจ้างงานก่อสร้างภาครัฐ ดังนี้ 
1. ปรับแนวคิดในกฏหมาย จากการเน้นประโยชน์หน่วยงานของรัฐ ไปสู่ประโยชน์สาธารณะ
2. ปรับการคำนวณราคาให้สะท้อนต้นทุนจริง
3. ปรับแบบสัญญาจัดจ้าง โดยการขอแก้ไขกฏหมาย และแก้แบบสัญญา 
4. กำหนดเงื่อนไขการคัดเลือกผู้รับเหมา โดยเสนอแก้ไขกฏหมายที่กำหนดเงื่อนไขในการคัดเลือกผู้รับเหมาอย่างโปร่งใส
5. สร้างกลไกปรึกษาหารือกับผู้มีส่วนได้เสียอย่างเป็นระบบ

ทั้งนี้ กกร. ได้มีข้อเสนอเพิ่มเติมเพื่อให้การจัดซื้อจัดจ้างก่อสร้างภาครัฐ อาทิ เช่น การใช้ Local Content ภายในประเทศ หรือวัสดุที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน Made in Thailand และครื่องหมายรับรอง Green Product โดยจะมีการรวบรวมรายละเอียดและนำเสนอรัฐบาลให้พิจารณาต่อไป

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์