อดีต สว.คำนูณ สิทธิสมาน อธิบายความเป็นมาของศาลโลก ICJ ที่ในอดีตสร้างความเจ็บปวดกรณีเขาพระวิหารมาแล้ว และครั้งนี้ขออย่าให้ซ้ำรอยเดิม มีรายละเอียดน่าสนใจดังนี้
สวนทางกับการนั่งพับเพียบกระมิดกระเมี้ยนพูดอ้อมๆ ให้ต้องตีความและไม่ยอมพูดเรื่องที่ประเทศไทยไม่ยอมรับอำนาจศาลโลก ICJ ให้หนักแน่นชัดเจนในแถลงการณ์ของรัฐบาลเมื่อเช้าวานนี้ 4 มิถุนายน 2568 รัฐบาลกัมพูชาก็ออกแถลงการณ์กล่าวหาอีกครั้ง ว่าทหารไทยโจมตีทหารกัมพูชาในพื้นที่ของกัมพูชา และจะขอใช้กลไกของศาลโลก ICJ แก้ปัญหา ขอให้รัฐบาลไทยร่วมมือด้วย ตามภาพที่ปรากฏ
แถลงการณ์ของเขาเด็ดขาดมาก บอกว่าจะไม่นำความขัดแย้งใน 4 พื้นที่ทางบกมาคุยในเวทีเจรจาทวิภาคี แต่จำนำขึ้นศาลโลก ICJ สถานเดียว
เหมือนเอาเท้าเขี่ยแถลงการณ์นั่งพับเพียบของรัฐบาลไทยทิ้งอย่างไม่ไยดี
ขอบคุณภูมิธรรม เวชยชัยที่ให้สัมภาษณ์ในช่วงบ่ายๆ เรื่องไทยไม่รับอำนาจศาล ICJ และมติ ครม. 12 มีนาคม 2567 ที่ผมนำมาตอกย้ำและขยี้อยู่หลายครั้ง แต่ไม่เห็นด้วยที่ท่านบอกทำนองว่าไม่อยากขยายเรื่องนี้มาก
เราต้องร่วมกันขยายให้เกิดความเข้าใจร่วมกัน
มหากาพย์แห่งความเจ็บปวดระหว่างไทยกับศาลโลก ICJ จำเป็นต้องรื้อฟื้นและขยายครับ
ประเทศไทยไม่เคยรับอำนาจ ICJ ตั้งแต่ศาลก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2488 แต่ถูก ICJ วินิจฉัยในปี 2504 ว่าเราได้รับอำนาจศาลแล้วในปี 2493 โดยจะครบวาระ 10 ปีในวันที่ 20 พฤษภาคม 2503 เป็นเวลา 65 ปีมาแล้ว
.
ผลการวินิจฉัยในปี 2504 ทำให้ประเทศไทยต้องเข้าสู้คดีปราสาทพระวิหารกับกัมพูชาในศาลเพียง 1 คดี แต่เป็น 2 รอบ ตัดสินในปี 2505 และ 2565 ไม่ชนะทั้ง 2 รอบ
รัฐบาลต้องชี้แจงให้คนไทยเข้าใจร่วมกันว่า ICJ ที่ย่อมาจาก Information Court of Justice หรือศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือเรียกกันอย่างติดปากว่า ‘ศาลโลก’ นั้น ก่อตั้งขึ้นในปี 2488 หลังจบสงครามโลกครั้งที่ 2 แม้จะเป็นองค์กรในสังกัดองค์การสหประชาชาติ แต่ไม่เหมือนศาลภายในแต่ละประเทศที่บังคับใช้กับประชาชนในประเทศนั้นๆ ทุกคนโดยอัตโนมัติ รัฐบาลของประเทศต่างๆ แม้จะเป็นสมาชิกสมาชิกองค์การสหประชาชาติหาอยู่ภายใต้บังคับโดยอัตโนมัติไม่ ต้องพิจารณาแสดงเจตนายอมรับอำนาจศาลอย่างเป็นทางการเสียก่อน ถ้าไม่รับไม่ว่าจะด้วยเหตุใด ก็ไม่มีข้อผูกพันใดๆ
การรับอำนาจ ICJ กำหนดให้ประเทศต่าง ๆ แสดงเจตนารับคราวละ 10 ปี
เชื่อไหมว่าประเทศไทยไม่เคยรับอำนาจ ICJ อย่างเป็นทางการเลย
เคยแต่รับอำนาจศาลประจำยุติธรรมระหว่างประเทศ (PCIJ) หรืออาจจะเรียกว่าศาลโลกเก่า ซึ่งเป็นองค์กรในสังกัดองค์การสันนิบาตชาติที่ตั้งขึ้นในปี 2463 หลังจบสงครามโลกครั้งที่ 1 รวมแล้ว 3 ครั้ง
ครั้งที่ 1 ปี 2472 (ค.ศ. 1929)
ครั้งที่ 2 ปี 2483 (ค.ศ. 1940)
ครั้งที่ 3 ปี 2493 (ค.ศ. 1950)
แต่มีปัญหาไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้ตรงการต่ออายุการรับรองอำนาจศาลครั้งที่ 3 เพราะขณะนั้นสงครามโลกครั้งที่ 2 จบไปแล้ว 5 ปี ไม่มีสันนิบาตชาติอีกแล้ว ไม่มีศาล PCIJ อยู่แล้ว มีแต่องค์การสหประชาชาติและศาล ICJ แต่รัฐบาลไทยกลับส่งหนังสือประกาศยืนยันจากรัฐบาลไทยถึงเลขาธิการสหประชาชาติ ‘ขอต่ออายุการรับอำนาจศาล PCIJ’ เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2493 จึงถูกวินิจฉัยในอีก 11 ปีต่อมาว่านั่นคือการยอมรับอำนาจศาล ICJ แล้ว
กัมพูชาฟ้องไทยในคดีปราสาทพระวิหารเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2502 เหลืออีก 7 เดือนจะครบอายุ 10 ปีของประกาศรับอำนาจศาลเมื่อปี 2493
แม้ประเทศไทยจะต่อสู้คดีเบื้องต้นโดยการตัดฟ้องว่าเราไม่ได้ยอมรับอำนาจศาล ICJ ศาล ICJ จึงไม่มีอำนาจพิจารณา แต่ก็ไม่เป็นผล
ศาล ICJ พิพากษาข้อโต้แย้งเบื้องต้นในปี 2504 ว่าประเทศไทยยอมรับอำนาจศาลแล้วในปี 2493
ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องเดินหน้าต่อสู้คดีต่อไป
และแพ้คดีปราสาทพระวิหารอย่างย่อยยับในปี 2505 ดังที่ทราบกันดี
ไทยต้องขึ้นสู้คดีในศาล ICJ อีกครั้งในปี 2554 - 2556 แต่เป็นคดีเก่าเมื่อปี 2502 - 2505 เป็นคดีที่รัฐคู่ความยื่นขอตีความคำพิพากษาในคดีปราสาทพระวิหารเมื่อปี 2505
จากข้อเท็จจริงที่ประเทศไทยต้องขึ้นต่อสู้คดีในศาล ICJ ทั้ง 2 ครั้ง กัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มก่อนทั้งสิ้นนั้น
จึงเชื่อว่ากัมพูชาต้องการใช้ศาล ICJ แก้ปัญหาเขตแดนกับไทยอีกต่อไป
ทุกประการผ่านการวางแผนมา
แม้กระทั่งประเด็นเขตไหล่ทวีปในอ่าวไทย ผมเชื่อว่าการที่กัมพูชาประกาศกฤษฎีกากำหนดเขตไหล่ทวีปมารุกล้ำอธิปไตยของเกาะกูดเมื่อปี 2515 ก็ผ่านการคิดคำนวณมาอย่างดีแล้วว่า จะพยายามให้จุดสุดท้ายไปจบที่ศาล ICJ และประเทศเขาจะได้เปรียบอีกครั้ง
นี่จึงเป็นเรื่องที่ประเทศไทยต้องมีทีท่าที่หนักแน่นและชัดเจน โดยรัฐบาลไทยต้องเป็นผู้นำในเรื่องนี้
เพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย
ไม่ว่าเหตุผิดเพี้ยนของรัฐบาลไทยในปี 2493 จะเกิดขึ้นเพราะอะไร รัฐบาลไทยมีเจตนาที่แท้จริงอย่างไรต่ออำนาจศาล ICJ ที่เพิ่งเกิดขึ้นในขณะนั้นไม่นาน มันจบไปแล้ว ผู้รับผิดชอบทุกระดับคงไม่มีใครเหลือมีชีวิตอยู่แล้ว แต่ความจริงแท้แน่นอนคือประเทศไทยไม่ได้รับอำนาจศาล ICJ มาตั้งแต่ปี 2503 คดีปราสาทพระวิหารที่กัมพูชาเริ่มฟ้องในปี 2502 เป็นคดีแรกและคดีสุดท้ายที่เราอยู่ภายใต้อำนาจศาล เป็นคดีประวัติศาสตร์ที่มีถึง 2 ภาคภายในระยะเวลากว่า 60 ปี
มติคณะรัฐมนตรีวันที่ 12 มีนาคม 2567 ยืนยันจุดยืนของประเทศไทยได้ชัดเจน
คณะรัฐมนตรีลงมติเป็นหลักการเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2567 ให้แจ้งไปยังทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐให้ถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดว่าในกรณีที่มีความจำเป็นต้องจัดทำหนังสือสัญญาซึ่งมีข้อบทให้อำนาจศาล ICJ มีเขตอำนาจเหนือข้อพิพาทตามหนังสือสัญญานั้น ให้จัดทำข้อสงวนไม่รับอำนาจของศาล ICJ ไว้ทุกเรื่อง เพื่อมิให้กระทบต่ออำนาจอธิปไตยของชาติ
ย้ำ - เพื่อมิให้กระทบต่ออำนาจอธิปไตยของชาติ !
วันที่ 15 และ 19 มีนาคม 2567 มีการแจ้งมติคณะรัฐมนตรีไปยังทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ
ทั้งนี้ เป็นไปตามข้อสังเกตเชิงข้อเสนอมาจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตั้งแต่เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2566
ประเด็นนี้ต้องขอชื่นชมทั้งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและรัฐบาลพรรคเพื่อไทยชุดนาย‘เศรษฐา ทวีสิน’
ผมคาดการณ์อยู่แล้วว่ากัมพูชาต้องมามุกเดิมยืมมือศาล ICJ อีกแน่ในอนาคต จึงขยายความเรื่องนี้โดยการตั้งกระทู้ถามสดในวุฒิสภา
เป็นการตั้งกระทู้สดถามนายกรัฐมนตรีในที่ประขุมวุฒิสภาเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2567 ‘พ.ต.ท.ทวี สอดส่อง’ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมในขณะนั้น ได้รับมอบหมายให้มาเป็นผู้มาตอบแทน
ในวันนั้นผมได้ใช้เป็นโอกาสกล่าวเทิดเกียรติท่านอาจารย์ ‘ดร.สมปอง สุจริตกุล’ ที่ยืนหยัดปฏิเสธอำนาจศาล ICJ มาโดยตลอดชีวิตท่านด้วย
แม้ดูเหมือนว่าคนไทยจะสบายใจได้ในระดับสำคัญ
ขอแต่เพียงรัฐบาล ไม่ว่ารัฐบาลนี้หรือรัฐบาลไหนในอนาคต อย่าได้ยกเลิกหลักการสำคัญยิ่งอันเป็นมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 12 มีนาคม 2567 นี้
อย่าให้ซ้ำรอยความผิดพลาดในอดีตก็แล้วกัน
ไม่ว่าการออกประกาศต่ออายุการรับอำนาจศาล PCIJ ในปี 2493 ทั้งที่ไม่มีศาล PCIJ อยู่แล้วหลายปี
หรือใกล้ ๆ หน่อย การที่เคยมีมติครม.ชุดปลายปี 2552 ให้ยกเลิก MOU 2544 และมอบให้กระทรวงการต่างประเทศไปศึกษาวิธีการยกเลิก แต่ศึกษากันยาวนาน 5 ปี จนถึงปลายปี 2557 กลับมีมติคณะรัฐมนตรีอีกชุดหนึ่งให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีชุดปี 2552 ให้กลับมาใช้ MOU 2544 เป็นกรอบการเจรจากับกัมพูชาอีก
อย่าให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย !
เพราะมติครม.นั้นเปลี่ยนแปลงได้โดยมติครม.ที่เกิดขึ้นภายหลัง นโยบายในแต่ละยุคแต่ละรัฐบาลอาจต่างกันได้ รัฐบาลเพื่อไทยยุคนายกฯแพทองธาร ชินวัตรอาจเห็นต่างจากรัฐบาลเพื่อไทยยุคนายกฯเศรษฐา ทวีสิน
ผมจึงเสนอให้นายกฯแพทองธาร ชินวัตรแสดงท่าทีให้ชัด ออกมาพูดชี้แจงกับคนไทย และตอบพ่อลูกตระกูลฮุน
คำนูณ สิทธิสมาน
5 มิถุนายน 2568

