วิกฤติข้าวนาปรัง ยังทำให้ชาวนาพยายามต่อสู้ เพื่อเอาชนะสถานการณ์ข้าวราคาตกต่ำ เหลือเพียง 6,000 บาทต่อตัน ซึ่งรัฐบาลเล็งเห็นความเดือดร้อน และออกออก 3 มาตรการช่วยเหลือ คือ “ช่วยค่าฝากเก็บ-ชดเชยดอกเบี้ยโรงสี-เปิดจุดรับซื้อ” เคาะประกันราคาออกมาเบื้องต้น เพิ่มจาก 6,000 เป็น 8,000 บาท แต่เสียงจากชาวนาหลายพื้นที่ ยังเห็นพ้อง เป็นราคาที่ต่ำว่าต้นทุนการผลิต ดังนั้น จึงพยายามเสนอมาตรการขอความช่วยเหลือ และให้ตัวเลขที่พอจะเป็นรายได้ให้ชาวนา ที่ 1-1.2 บาทต่อตัน
เรื่องนี้ นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน ยังตอกย้ำ การพิจารณาในที่ประชุมของคณะอนุกรรมการบริหารนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) ด้านการตลาด ที่ออกมา 3 มาตรการนั้น ได้คำนึงถึงข้อเรียกร้องของเกษตรกรทุกกลุ่ม โดยเฉพาะในข้อเรียกร้องที่เกี่ยวข้องกับการประกันราคา หรือประกันรายได้ หรือข้อเรียกร้องที่เข้าข่ายการรับจำนำข้าว ซึ่งคณะอนุกรรมการได้พิจารณาหารือกันอย่างรอบคอบทุกมิติแล้ว เห็นว่าข้อเรียกร้องดังกล่าวขัดกับมติ ครม. เมื่อวันที่ 21 พ.ย. 66 และมติ นบข. เมื่อวันที่ 8 พ.ย.67 ที่กำหนดว่า ในการจัดทำมาตรการ/โครงการ เพื่อสนับสนุนหรือให้ความช่วยเหลือภาคเกษตรกร ‘ให้หลีกเลี่ยง’ การดำเนินการในลักษณะการให้เงินอุดหนุน ช่วยเหลือ ชดเชย หรือประกันราคาสินค้าเกษตรโดยตรงแก่เกษตรกร

ตอกย้ำ 3 มาตรการช่วยชาวนา เพื่อพยุงราคาข้าว ขายช่วงราคาสูง
อย่างไรก็ตาม การช่วยเหลือพี่น้องชาวนาเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อให้เกิดการพยุงราคาและดึงราคาตลาดเพิ่มสูงขึ้น จึงได้เสนอมาตรการช่วยเหลือข้าวนาปรัง 2568 ที่สามารถดำเนินการได้ทันที เพื่อเสนอคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ซึ่งประกอบด้วย 3 มาตรการ ได้แก่
1\. มาตรการสินเชื่อชะลอการขายข้าวนาปรัง โดยรัฐช่วยค่าฝากเก็บ 1,000 บาท/ตัน หากชาวนามีที่เก็บเองก็จะได้รับเพิ่มอีก 500 บาท เป็น 1,500 บาท ซึ่งเก็บอย่างน้อย 1 – 5 เดือน เป้าหมาย 1.5 ล้านตัน วงเงิน 1,219.13 ล้านบาท เพื่อเป็นการกระตุ้นการซื้อและดึงราคาข้าวขึ้น
2\. มาตรการเปิดจุดรับซื้อข้าวของเกษตรกร ที่ไม่มีสถาบันเกษตรกรฝากเก็บและต้องการขายข้าวในทันที โดยผู้ประกอบการค้าข้าวจะช่วยซื้อในราคานำตลาด 300 บาทต่อตัน โดยรัฐสนับสนุนค่าบริหารจัดการตันละ 500 บาท เป้าหมาย 300,000 ตัน วงเงิน 150 ล้านบาท และ
3\. มาตรการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต๊อกข้าวเพื่อเป็นมาตรการจูงใจให้มีการซื้อข้าวจากเกษตรกร โดยเงื่อนไขผู้ประกอบการต้องซื้อข้าวในราคานำตลาด 200 บาทต่อตัน เพื่อให้พี่น้องเกษตรกรได้ขายข้าวในราคาที่เพิ่มขึ้น โดยรัฐจะช่วยชดเชยดอกเบี้ยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการ 6% ทั้งนี้ เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อให้มากกขึ้นและดึงซัพพลายออกจากตลาด โดยเป้าหมาย 2 ล้านตัน วงเงิน 524.40 ล้านบาท

โดยการพิจารณาของคณะอนุกรรมการ นบข. ด้านการตลาด ทั้ง 3 มาตรการดังกล่าว ที่ประชุมได้พิจารณาแล้วว่าสามารถดำเนินการได้ทันทีเพื่อเยียวยาความเดือดร้อนของพี่น้องเกษตรกร และไม่เป็นการบิดเบือนกลไกตลาด โดยใช้วิธีการกระตุ้นให้มีการรับฝากเก็บและเปิดจุดรับซื้อเพื่อดึงซัพพลายออกจากตลาด นอกจากนี้ยังมีโครงการร่วมกับสมาคมผู้ประกอบการเข้าถุงและโมเดิร์นเทรดจัดทำเข้าถุงราคาประหยัดเป้าหมาย 500,000 ตัน
นายวิทยากร ยังกล่าวถึง ข้อเรียกร้องสำหรับการห้ามเผาฟางหรือการเยียวยาพื้นที่รับน้ำ คณะอนุกรรมการ นบข. ด้านการตลาด ได้หารือกันอย่างรอบคอบและพิจารณาให้คณะอนุกรรมการ นบข. ด้านการผลิต ดำเนินการรับไปพิจารณาโดยด่วนต่อไป ส่วนข้อกังวลเรื่องรายละเอียดต่างๆ จากการกำหนดมาตรการไม่ว่าจะเป็นการขึ้นทะเบียนเกษตรกร หรือการพิจารณาให้เพิ่มโรงสีหรือสถาบันการเงินเข้ามาในโครงการ ในส่วนนี้จะมีการพิจารณากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
“ผมขอเรียนให้พี่น้องเกษตรกรทราบว่า มาตรการช่วยเหลือข้าว ทั้ง 3 มาตรการดังกล่าวที่ผ่านมาเคยใช้กับการปลูกข้าวนาปีเท่านั้น ซึ่งสำหรับปีนี้ได้มีการพิจารณาออกมาตรการช่วยเหลือกับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปรัง อยากให้พี่น้องเกษตรกรทราบว่ารัฐได้พิจารณาอย่างรอบคอบและทั่วถึง เพื่อประโยชน์ของพี่น้องชาวนา และจะเร่งดำเนินการโดยเร็วที่สุด”
— นายวิทยากร กล่าว