การสร้างบ้าน 1 หลัง หรือ 1 โครงการ วัสดุก่อสร้างคือจุดสำคัญ บ่งบอกได้ว่า บ้าน 1 หลัง หรือ 1 โครงการนั้น มีระดับความยั่งยืนเพื่อการอยู่อาศัย เป็นอย่างไร ตอบโจทย์ครบ เช่น
- รองรับการพักผ่อน - Work at Home หรือไม่?
- ประหยัดพลังงานหรือไม่?
- สามารถให้กิจกรรมเพื่อสุขภาพหรือไม่?
- มีนวัตกรรม ‘สมาร์ทโฮม’ หรือไม่
- มีการก่อสร้างที่ไม่ก่อให้เกิดมลพิษหรือไม่?
- และที่สำคัญ ยังจะเป็นบ้านที่ ‘ลดการปล่อยคาร์บอน’ ด้วยหรือไม่?
สิ่งต่างๆ เหล่านี้ จะเป็นตัวบ่งบอกเบื้องต้นได้ว่า บ้าน 1 หลัง หรือ 1 โครงการนั้นๆ ตอบโจทย์บ้านที่เป็นมากกว่าที่อยู่อาศัย ได้หรือยัง ซึ่งในเทรนด์ปี 2567 เป็นต้นไป บ้านแทบทุกหลังที่สร้างใหม่ จะต้องคำนึงถึงคุณภาพชีวิต สร้างบ้านให้เป็นมากกว่าที่อยู่อาศัย มากขึ้น ทีนี้หลายคนอาจมีคำถามต่อว่า แล้วราคาบ้านจะแพงขึ้นไหม?
เวทีเสวนา “Brand Series | ONE WORLD เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว” ตอบหลายข้อ เรื่องบ้าน Well-Being and Sustainable Lifestyle ที่กล่าวได้ว่า จะเป็นเทรนด์อสังหาที่มาแรง ในปี 2567 ซึ่งจากคำถาม ราคาบ้านจะแพงขึ้นไหม? คำตอบคือ แพงขึ้นแน่นอน มีปัจจัยจากค่าวัสดุก่อสร้าง และค่าแรง ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งความแพงนี้ เกิดขึ้นมายาวนาน นับแต่สงครามรัสเซีย-ยูเครนเริ่มขึ้นจนถึงปัจจุบันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่สิ่งที่ทุกคนจะทำได้ คือ การสร้างบ้านที่ให้ความสุขระยะยาว เป็นบ้านที่ดูแลสุขภาพคนในบ้าน ช่วยให้มีสุขภาพกาย-ใจที่ดีนั่นเอง
ปี 2567 ความต้องการซื้อบ้านมากน้อยแค่ไหน?
สุมิตรา วงภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท เทอร์ร่า มีเดีย แอนด์ คอนซัลติ้ง จำกัด หรือ TERRA BKK เผย ผลวิจัย The most powerful of real estate brand 2023 และเจาะลึกพฤติกรรมผู้บริโภคตามแนวคิด Well-Being and Sustainable Lifestyle ชี้ 42% (จากกลุ่มตัวอย่าง 2,000 คน) มีแผนจะซื้อบ้านในช่วง 3 ปี โดยส่วนใหญ่สนใจซื้อบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม ในระดับราคาตั้งแต่ 3 – 7 ล้านบาท โดยปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตัดสินใจซื้อบ้านปีนี้ ส่วนใหญ่ให้ความใส่ใจเรื่องวัสดุก่อสร้างกันมากขึ้น รองลงมาคือ ระบบรักษาความปลอดภัย, สังคมและสิ่งแวดล้อมและบริการหลังการขาย
เมื่อเจาะลึกมาดูสินค้าในแต่ละกลุ่มจะพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามกว่า 78% วางแผนที่จะซื้อบ้านเดี่ยว โดยส่วนใหญ่เป็นคนในกลุ่ม Baby Boomer (อายุมากกว่า 56 ปีขึ้นไป) และกลุ่ม Gen Y (อายุ 28-41 ปี), รองลงมาเป็นกลุ่มทาวน์โฮม มีสัดส่วน 47% โดยเป็นกลุ่ม Gen X (อายุ 46-56 ปี) และ Gen Z (อายุ 18-27 ปี), ส่วนคอนโดมิเนียม มีผู้วางแผนที่จะซื้อราว 27% ซึ่งเป็นคนในกลุ่ม Gen Z และGen Y ในระดับราคา 2-7 ล้านบาท
จับพฤติกรรมการอยู่อาศัยในปี 2567
ด้านพฤติกรรมการอยู่อาศัยในปี 2567 พบว่า คนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับพื้นที่ในบ้าน 2 ด้าน คือ การพักผ่อนในพื้นที่ห้องรับแขก-ห้องนั่งเล่น-ห้องอเนกประสงค์ และการทำงานแบบ Work at Home รวมถึงมีความต้องการพื้นที่นอกตัวบ้าน หรือในสวนมากขึ้น ซึ่งสอดรับกับแนวคิด sustainable lifestyles จากผลวิจัยที่พบว่า ความต้องการบ้านในอุดมคติ จะประกอบด้วย 3 ด้าน คือ
- Comfortable and Convenience Living
- Safe and Secure Environment และ
- Well-Being
เพราะคนส่วนใหญ่มองว่า การอยู่บ้านในสังคมใหม่ที่ครบ สมบูรณ์ด้วยสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบ มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ ในบ้านมีการใช้สมาร์ทโฮม เทคโนโลยีอำนวยความสะดวก เหล่านี้จะช่วยให้ความเป็นอยู่ทั้งร่างกายและจิตใจดีขึ้น
ทั้งนี้ จากผลวิจัยจะเห็นว่า sustainable lifestyles ของคนแต่ละกลุ่มมีพฤติกรรมที่แตกต่างกัน โดย
- กลุ่ม Gen Z (อายุ 18-27 ปี) จะเป็นกลุ่มที่ใส่ใจเรื่องการเดินทาง โดยส่วนใหญ่จะเน้นการใช้ระบบขนส่งสาธารณะกันมาก
- Gen Y (อายุ 28-41 ปี) ให้ความใส่ใจด้านพลังงานเช่นการเปิด-ปิดไฟเมื่อไม่จำเป็น
- กลุ่ม Gen X (อายุ 46-56 ปี) จะเป็นคนที่สนใจเรื่องอาหาร และสุขภาพ เช่น ลดการกินเนื้อสัตว์ หรือกินพืชผักตามฤดูกาล และ
- กลุ่ม Baby boomer (อายุมากกว่า 56 ปีขึ้นไป) เป็นกลุ่มที่มีความน่าสนใจมาก เพราะคนกลุ่มนี้หันมาให้ความสำคัญกับเรื่องเทคโนโลยีสีเขียวเช่น โซล่าร์เซลล์ มากขึ้น
ซึ่งจาก sustainable lifestyles ที่กล่าวถึงได้สะท้อนถึงความต้องการบ้านของผู้บริโภคที่สอดรับกับวิถีชีวิตที่ยั่งยืน ซึ่งเป็นแนวทางในการพัฒนาโครงการอสังหาฯ ในอนาคต อาทิ การออกแบบ Universal design, มีพื้นที่ห้องสปาหรือโปรแกรมบริการ
การฟื้นฟูสุขภาพร่างกาย, มีกิจกรรมเพื่อสุขภาพและกายภาพบำบัด, บริการช่วยเหลือเรื่องสุขภาพ, บ้านประหยัดพลังงาน Solar Cell /ฉนวนกันความร้อน, ระบบกรองอากาศ PM2.5 และไวรัส, นวัตกรรมที่ช่วยอำนวยความสะดวกสบาย เช่น Smart Home,EV Charger, ระบบการคัดแยกขยะอย่างแท้จริง เพื่อลดขยะและรักษาสิ่งแวดล้อม, การก่อสร้างที่ไม่ก่อให้เกิดมลพิษ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และลดการปล่อยคาร์บอน
ทางด้านแนวโน้มความเชื่อมั่นผู้บริโภคในปี 2567 พบว่า ค่าดัชนีอยู่ที่ 76% ลดลง 4% เมื่อเทียบจากปีก่อนที่ 80% แม้ในภาพรวมค่าดัชนีจะลดลงเล็กน้อยจากปีก่อน แต่ในแง่ของการซื้อสินค้ามูลค่าสูง เช่น อสังหาฯ, รถยนต์ ผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังคง มองว่าช่วงนี้ไม่ใช่โอกาสดีในการซื้ออสังหาฯ ทั้งจากภาพรวมเศรษฐกิจที่ยังชะลอตัว อัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้น ความเข้มงวดของสถาบันการเงิน รวมถึงราคาอสังหาฯที่ปรับตัวสูงขึ้นตามค่าก่อสร้างใหม่ ซึ่งมีผลต่อการขอสินเชื่อใหม่ทำให้ลูกค้าบางกลุ่มต้องชะลอการตัดสินใจซื้อออกไป