บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ประเมินดัชนี SET มีโอกาสฟื้นตัวในช่วง 2-4 สัปดาห์ข้างหน้า โดยมีปัจจัยสนับสนุนจาก Pivot Yield ที่กำลังจะเกิดขึ้น พร้อมกับพัฒนาการเจรจาการค้าระหว่างประเทศและแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่ดีขึ้น
กรภัทร วรเชษฐ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ หัวหน้าสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสฟื้นตัวทดสอบระดับ 1,200-1,210 จุด โดยมีปัจจัยสนับสนุนสำคัญ 3 ประการ ได้แก่
ปัจจัยหลักที่หนุนตลาดหุ้นไทย
1. Pivot Yield ใกล้เกิดขึ้น – แรงกดดัน Bond Yield เริ่มคลายตัว
แม้ US Bond Yield อายุ 10 และ 30 ปีจะเร่งตัวขึ้นในช่วงก่อนหน้า หลังถูกลดเครดิตเรตติ้งสถาบันการเงินสหรัฐฯ แต่ล่าสุด Yield ถอยลงมาประมาณ 10 เบสิสพอยต์จากจุดสูงสุดระหว่างวัน สะท้อนว่าแรงตอบรับข่าว Downgrade เริ่มหมดไป และตลาดอาจกำลัง "price in" การเริ่มชะลอตัวของเงินเฟ้อจากพฤษภาคม 2568 เป็นต้นไป หลังการเจรจาการค้ามีพัฒนาการที่ดีขึ้น
"ปัจจัยนี้เสริมโอกาสการ Pivot Yield ช่วยกระตุ้นความต้องการสินทรัพย์เสี่ยงรอบใหม่ โดยเฉพาะหุ้นในธีม High Beta เช่น กลุ่มเทคโนโลยี สาธารณูปโภค และลีสซิ่ง" กรภัทร กล่าว
2. เศรษฐกิจโลกก้าวสู่ยุค 'การค้าแบบแยกภูมิภาค' สร้างโอกาสใหม่ให้อาเซียนและไทย
ความตกลงการค้าระหว่างสหราชอาณาจักรและสหภาพยุโรปหลัง Brexit ตอกย้ำภาพการค้าโลกที่แตกย่อยเป็น 'Regional Blocks' มากขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากสงครามการค้าและนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ในยุคทรัมป์ ส่งผลเชิงบวกต่อกลุ่มโลจิสติกส์ นิคมอุตสาหกรรม ก่อสร้าง และโครงสร้างพื้นฐาน ที่ไทยมีความสามารถในการแข่งขันสูง
3. นโยบายไทยปรับสู่การ 'ลงทุนโครงสร้างใหม่' แทนที่ Digital Wallet
การชะลอโครงการ Digital Wallet เฟส 3-4 เปิดพื้นที่ให้นโยบายโครงสร้างใหม่ เช่น Infra Tech (Data Center, พลังงานสะอาด) การลงทุนด้านน้ำและคมนาคม การพัฒนาเมืองรองและการท่องเที่ยว รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพ SMEs ด้วยวงเงินรวมเกือบ 1 แสนล้านบาท
"นี่เป็นการพลิกเกมจากการแจกเงิน ไปสู่การสร้างความสามารถในการแข่งขันระยะกลางถึงระยะยาวอย่างแท้จริง" กรภัทร ระบุ
กลยุทธ์การลงทุนและหุ้นเด่น
กรุงศรีคงมุมมองว่า SET จะฟื้นตัวใน 2-4 สัปดาห์ข้างหน้า โดยจับตาระดับ 1,254 จุด และหากผ่านได้ จะมีโอกาสไปถึง 1,300-1,350 จุด ซึ่งเป็นกรอบในการปรับสมดุลพอร์ตอีกรอบ
กลุ่มหุ้นแนะนำ:
· กลุ่ม Domestic Play รับนโยบายรัฐโดยตรง: STECON, CK, SCC, AOT, WHA, AMATA, KBANK, SCB
· กลุ่ม Infra Tech/Utility ตามทิศทางการลงทุนยุคใหม่: GULF, GPSC, ADVANC, TRUE, INSET
· กลุ่ม Reopening และ China Trade Optimism: GFPT, CPF, KCE, HANA, IVL, PTTGC, SCC, SCGP
โดยเฉพาะเมื่อจีนลดอัตราดอกเบี้ย LPR 1 ปี และ 5 ปี คาดประมาณ 10 เบสิสพอยต์ จะช่วยสร้างเซนติเมนต์เชิงบวกให้ตลาด
มุมมองเศรษฐกิจจีนและไทย
กรภัทรยังให้มุมมองว่า เศรษฐกิจจีนยังคง 'เสถียร' และพร้อมฟื้นตัวต่อเนื่อง โดย Industrial Production เดือนเมษายนขยายตัว 6.1% ยังอยู่ในระดับสูงแม้จะชะลอลงจากเดือนก่อนหน้า อัตราว่างงานอยู่ที่ 5.1% ดีกว่าที่คาด และราคาบ้านลดลง 4.0% ซึ่งชะลอการลดลง
"แม้จีนยังไม่ฟื้นตัวเต็มรูปแบบ แต่มีเสถียรภาพและพร้อมรับผลบวกจากมาตรการกระตุ้น รวมถึงการพักรบภาษีระยะสั้น 90 วันกับสหรัฐฯ" กรภัทร กล่าว
สำหรับปัจจัยสนับสนุนอื่นๆ ได้แก่ เงินบาทที่แข็งค่าที่ระดับ 33.15 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ช่วยหนุนจิตวิทยาตลาดไทย และการผ่อนเกณฑ์ภาษีเงินได้นำกลับประเทศ ซึ่งคาดว่าจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องและเซนติเมนต์การลงทุน
ผลประกอบการไตรมาส 1/2568 เป็นบวก
ในด้านผลประกอบการ บริษัทจดทะเบียน 692 บริษัท มีกำไรรวมในไตรมาส 1/2568 อยู่ที่ 266,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 61.8% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 0.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยกลุ่มที่มีผลประกอบการโดดเด่น ได้แก่ ธนาคาร ชิ้นส่วน สื่อสาร ขนส่ง รับเหมา เกษตรและอาหาร
"เชิงกลยุทธ์ เรายังคงเน้นการสะสมหุ้นที่มี Earnings Momentum ควบคู่กับได้รับการสนับสนุนจากนโยบายภาครัฐ" กรภัทรกล่าวสรุป
หุ้นเด่นวันนี้ที่แนะนำ ได้แก่ TRUE, GULF และ GPSC