นักวิเคราะห์ ชี้น้ำมันมีโอกาสแตะ 82 เหรียญ หากวิกฤตสงครามยืดเยื้อ แนะทยอยสะสมหุ้นไทย–ฮ่องกง พร้อมชูหุ้นพลังงานรับอานิสงส์
ตลาดการเงินโลกเผชิญแรงสั่นสะเทือนอีกระลอก หลังอิสราเอลโจมตีเป้าหมายทางทหารในอิหร่าน ส่งผลให้ทั้งราคาน้ำมันและทองคำทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว จากความวิตกต่อความตึงเครียดในตะวันออกกลางที่อาจยืดเยื้อและส่งผลกระทบต่ออุปทานพลังงานโลก
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ , AISA ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย AVP บริษัทหลักทรัพย์กรุงศรี วิเคราะห์ว่าราคาน้ำมันดิบ Brent พุ่งทะลุ 81 ดอลลาร์/บาร์เรล และมีแนวโน้มขึ้นต่อ
“แรงหนุนราคาน้ำมันในรอบนี้มาจากความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์โดยตรง หากสถานการณ์ยืดเยื้อ ราคาน้ำมันมีโอกาสแตะ 82 ดอลลาร์/บาร์เรลได้ในระยะสั้น ซึ่งจะส่งผลเชิงบวกโดยตรงต่อหุ้นในกลุ่มพลังงานและโรงกลั่น”
ส่วนราคาทองคำก็พุ่งแรงเกือบ 50 ดอลลาร์ในวันเดียว จากแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย โดยล่าสุดราคาทองคำในตลาดโลกทะยานแตะระดับ 3,450 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดในรอบหลายเดือน และมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นต่อหากความตึงเครียดในภูมิภาคยังไม่คลี่คลาย พร้อมแนะนำกลยุทธ์ในการลงทุนทองคำ
“หากราคาทองคำสามารถยืนเหนือ $3,400 ได้ก็มีโอกาสขึ้นต่อถึง $3,600 ตามแนว Fibonacci และแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย แนะแบ่งขายเมื่อเข้าใกล้แนวต้าน $3,450–$3,496 และตั้งจุด Stop Loss ที่ $3,350 สำหรับนักลงทุนที่ตามราคาสูง พร้อมย้ำต้องแบ่งรับแบ่งสู้ เพราะทองคำยังไม่เป็นขาขึ้นถาวร”
กลยุทธ์การลงทุนในตลาดทุนโลก-ตลาดทุนไทย
ในส่วนของการลงทุน ฐกฤตเผยว่า ภาวะเช่นนี้ กรุงศรีปรับน้ำหนักพอร์ตระยะสั้นดังนี้:
• หุ้นกลุ่มพลังงาน เช่น ปตท. (PTT), ไทยออยล์ (TOP), สตาร์ ปิโตรเลียม (SPRC) แนะนำ “เพิ่มน้ำหนัก” เพราะได้อานิสงส์โดยตรงจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น
• หุ้นกลุ่มปิโตรเคมี และ ค้าปลีกน้ำมัน เช่น PTTGC หรือ OR แนะนำ “ลดน้ำหนัก” จากความกังวลต้นทุนฟีดสต็อกที่สูงขึ้น
• ราคาทองคำ เหมาะสำหรับการเทรดเก็งกำไรระยะสั้นแบบมีจุดขายชัดเจน เน้น “มีสต็อก” และ “คุมความเสี่ยง”
• หุ้นไทย–ฮ่องกง ยังคงแนะนำ “ทยอยสะสม” สำหรับนักลงทุนระยะกลางถึงยาว เพราะ valuation ยังถือว่า “ถูก” เทียบกับประเทศอื่น
ภาพรวมตลาดต่างประเทศ: ย้ำกระจายความเสี่ยง
จากข้อมูลผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี พบว่า ตลาดหุ้นไทยและญี่ปุ่นยังติดลบ, ขณะที่ ฮ่องกง, อินเดีย และยุโรป ยังคงให้ผลตอบแทนเป็นบวก ฐกฤต ย้ำว่าการกระจายการลงทุน ยังคงเป็นกลยุทธ์หลักในสถานการณ์เช่นนี้
• หุ้นฮ่องกง: ยังคงให้คำแนะนำ “Overweight” เพราะแม้จะปรับตัวขึ้นแล้ว แต่ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต และได้แรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน
• หุ้นยุโรป–อเมริกา: คงน้ำหนัก “กลาง” ยังไม่แนะนำเข้าลงทุนใหม่ในช่วงนี้
• พันธบัตรและกองรีททั่วโลก แนะนำเป็นสินทรัพย์เสริมเพื่อกระจายความเสี่ยง