‘เศรษฐา ทวีสิน’ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา กรณีมีข่าวว่าจะปลดผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือ แบงก์ชาติ โดยชี้ เป็นเรื่องตลก ไม่เคยมีความคิดดังกล่าว พร้อมย้ำ เคยพบปะผู้ว่าการแบงก์ชาติ 3 ครั้ง ตั้งแต่เริ่มเข้าทำงานการเมือง ก่อนรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งผู้ว่า ธปท. ได้เข้าไปที่พรรคเพื่อไทย เพื่อหารือถึงเรื่อง Digital Wallet พร้อมให้ข้อเสนอแนะ ซึ่งก็น้อมรับมาปฏิบัติ รวมถึงการได้เจอกันที่กระทรวงการคลังในวันที่มอบนโยบาย ดังนั้น ในกระแสข่าว กล่าวกันว่า “นายกรัฐมนตรี ไม่มีสิทธิที่จะไปไล่ผู้ว่าฯ ธปท.” อย่าว่าแต่สิทธิเลย เพราะเป็นเรื่องไม่เคยคิดมาก่อน
“บางคนไปพูดว่านายกรัฐมนตรี ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปไล่ ผมนี่ความคิดยังไม่มีเลยครับ อย่าว่าแต่สิทธิ์เลยครับ ความคิดยังไม่มีเลย ผมว่าเรื่องนี้ต้องให้ความเป็นธรรมกับผมและผู้ว่าแบงค์ชาติ เราไม่เคยมีเรื่องอะไรมาก่อน ผมให้ความเคารพ ให้เกียรติ ต่างคนต่างเคารพซึ่งกันและกัน” นายกรัฐมนตรี กล่าวย้ำ
แจงบาทอ่อน เหตุเก็งกำไร แต่ ‘ส่งออก-ท่องเที่ยว’ รับอานิสงส์
สำหรับกรณีที่ค่าเงินบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐปรับอ่อนลงในขณะนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เรื่องค่าเงินบาทนั้น อยู่ในความกำกับดูแลของ ธปท. รัฐบาลไม่ได้ก้าวก่าย เข้าใจว่า เหตุที่บาทอ่อนค่า เป็นเรื่องส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น ทำให้เงินทุนไหลออก เพื่อไปเก็งกำไรประเทศอื่นที่มีส่วนต่างดอกเบี้ยสูงกว่า ทั้งนี้ทั้งนั้น เรื่องค่าเงินบาทสำหรับการลงทุน เป็นเรื่องหลายมิติ ไม่อยากชี้ว่า ค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลงจะไม่ดีเสมอไป เพราะเมื่ออ่อนค่า จะดีสำหรับการส่งออก ที่จะทำให้ตัวเลขดีขึ้น ภาคการท่องเที่ยวเราจะได้รับเงินมากขึ้น ดึงดูดกลุ่มใช้เงินเหรียญ อยากมาใช้ที่บ้านเรามากขึ้น
ขณะที่ในด้าน อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับเพิ่มสูงมากในช่วงนี้ ซึ่งในตลาดมองว่า เป็นผลจากการคาดการณ์เรื่องอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่จะปรับเพิ่มขึ้น และรวมถึง การระดมเงินที่มากขึ้นของรัฐบาล โดยนายกรัฐมนตรี ย้ำว่า แผนระดมเงินของรัฐ จะไม่กระทบต่อสภาพคล่องในตลาด (เอกชน) ขณะนี้ได้หารือกับกระทรวงการคลังในเรื่องดังกล่าวแล้ว ดังนั้น จึงมองว่า ไม่ใช่ประเด็น
“ผมว่า สภาพคล่องในประเทศมีอยู่เยอะมาก ไม่น่าใช่ประเด็น ได้คุยกับทางกระทรวงการคลังแล้ว ดังนั้นกรณีที่เอกชนมองว่า เราจะแย่งสภาพคล่อง ไม่น่ากังวล เพราะเรามีสภาพคล่องเยอะมาก ไม่น่ากังวลเลย”
นายกฯ เศรษฐา กล่าว
