ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า ภารกิจการเดินทางเยือนสมาพันธรัฐสวิส เพื่อร่วมประชุม World Economic Forum หรือ WEF (Country Strategy Dialogue on Thailand) ที่เมืองดาวอส ระหว่างวันที่ 15-19 มกราคม 2567 ครั้งนี้ นายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ในฐานะผู้นำประเทศ และอีกฐานะคือ เซลล์แมนขายการลงทุนไทย จะนำพาเม็ดเงินกลับเข้าประเทศได้มากน้อยแค่ไหน แต่ที่แน่ๆ ต้องไปโชว์ศักยภาพประเทศไทยในความ ‘น่าลงทุน’ และโครงการ Landbridge Thailand ก็เป็นจุดขายสำคัญ
นายกรัฐมนตรี ให้ข้อมูลกับนักธุรกิจชั้นนำทั่วโลก ระบุถึงโครงการ Landbridge Thailand ว่า เป็นโครงการที่รัฐบาลให้ความสำคัญมาก เชื่อว่าโครงการนี้ จะเป็นประโยชน์สำหรับการเข้ามาลงทุนในไทย ทั้งยังตอกย้ำ ประเทศไทยกำลังเปิดรับนักลงทุน และพร้อมอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ
ผลหารือ ผู้นำ-บิ๊กธุรกิจหลากสาขา
- ธนาคาร : นายกฯ เศรษฐา หารือกับแบงก์ออฟอเมริกา ถือว่าเป็นแบงก์ที่มีขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ที่สหรัฐมีสำนักงานขนาดใหญ่อยู่ที่ประเทศไทยด้วย และได้มีการพูดคุยว่าจะทำอย่างไรได้บ้างให้บริษัทไทยไปลงทุนในต่างประเทศ โดยจะทำโรดโชว์ร่วมกันเอาประเทศไทยไปพูดถึงในเวทีโลกในหลายหลายมิติ
- นายกรัฐมนตรี ร่วมหารือกับผู้บริหาร HSBC ธนาคารรายใหญ่ ซึ่งอยากเข้าไปทำงานร่วมกับประเทศไทยมากขึ้น จึงจะมีการทำโรดโชว์ ร่วมกัน
- คมนาคม : นายกฯ เศรษฐา หารือ นายกรัฐมนตรีเบลเยียม ถึง เส้นทางการบินตรงบรัสเซลส์มายังไทย โดยหลังจากนี้ ตนก็จะไปหารือกับการบินไทยในเรื่องนี้ รวมถึงได้หารือกันถึงประเด็นการยกระดับพาสปอร์ตไทย ให้การทำวีซ่าเข้ามาในประเทศยุโรปให้ง่ายขึ้น ซึ่งนายกรัฐมนตรีเบลเยียมก็รับไปพิจารณา และพูดคุยกันถึงเรื่องเอฟทีเอ ซึ่งได้มีการเจรจาและพูดคุยกันเป็นไปได้ด้วยดีเนื่องจากอียูมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงบรัสเซลส์ เป็นแทรดดิ้งพาร์ตเนอร์ใหญที่สุดของประเทศไทย
- โลจิสติกส์ : นายกฯ เศรษฐา พบหารือกับ Sultan Ahmed bin Sulayem ประธานกลุ่มบริษัท และผู้บริหารของบริษัท DP World ผู้เชี่ยวชาญด้านโลจิสติกส์การขนส่งสินค้า การดำเนินงานท่าเรือ ซึ่งเป็น Operator ของท่าเรือแหลมฉบัง ได้แสดงเจตจำนงชัดเจนจะมาลงทุนในโครงการ Landbridge จึงเตรียมเชิญมาพูดคุยที่กรุงเทพฯ ในรายละเอียดอีกครั้ง พร้อมจะลงพื้นที่จริงด้วย ซึ่งถึงเวลานั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมจะพาไปด้วยตนเอง จึงถือเป็นสัญญาณที่ดีมาก ในขณะเดียวกันก็ได้มีการนำเสนอเรื่องแลนด์บริดจ์ในวงกว้าง ซึ่งหลายคนแสดงความสนใจ และมีการนัดหมายที่อยากไปพบปะหารือกันต่อไป
- นอกจากนี้ ยังหารือกับผู้อำนวยการใหญ่องค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (World Intellectual Property Organization: WIPO) ซึ่งยืนยันว่าไทยให้ความสำคัญกับเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา และทั้งสองฝ่ายจะร่วมมือกันต่อไป
- ด้าน บริษัทเครื่องดื่มน้ำดำ Coca Cola โดย นาย James Quincey ประธาน และ CEO บริษัท Coca-Cola แสดงความมุ่งมั่นส่งเสริมการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืนในประเทศไทย และพิจารณาขยายการลงทุนในไทยเพิ่มขึ้น โดยชี้ขณะนี้บริษัท Coca Cola ให้ความสำคัญเรื่องความยั่งยืน จึงหารือในประเด็นการใช้ขวดพลาสติก เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในเรื่องของมลภาวะ โดยที่ทางบริษัทฯ มีแผนที่จะขยายการลงทุนในไทย และไทยพร้อมที่จะเป็น ศูนย์กลางของภูมิภาค Regional Hub เพราะตอนนี้ รัฐบาลมีนโยบายในการส่งเสริมการค้าการลงทุน ที่จะทำให้การขนส่งสินค้าระหว่างประเทศเพื่อนบ้านมีความสะดวกมากยิ่งขึ้น ทั้งเรื่องภาษีศุลกากร ภาษีสรรพสามิต ด่านต่างๆ ซึ่งมีความพร้อม
ทั้งนี้ Coca Cola เป็นหนึ่งในบริษัทเครื่องดื่มที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นเจ้าของหรือมีใบอนุญาตแบรนด์เครื่องดื่มมากกว่า 200 แบรนด์ โดยก่อตั้งในประเทศไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 นับเป็นสัญญาณที่ดีของการลงทุนไทยในอนาคต
ล่าสุด นายกฯ เศรษฐา ยังพบหารือ นาย Marcus Wallenberg ประธานบริษัท SAAB และประธานกรรมการธนาคาร Skandinaviska Enskilda Banken (SEB) ธนาคารชั้นนำของสวีเดน โดยถือว่าเป็นอีกจุดที่น่าสนใจ เพราะเป็นนักธุรกิจที่มีความสามารถสูง ที่ประกอบธุรกิจที่หลากหลายเช่น SAAB ABB AstraZeneca พร้อมทั้งมีเครือข่ายการจำหน่ายเครื่องบิน และเรือดำน้ำอีกด้วย โดยนาย Marcus ยินดีสนับสนุน และพิจารณา การขยายการลงทุนต่างๆ ในไทยด้วย
คงต้องติดตามต่อไปว่า ผลแห่งการโชว์ศักยภาพ Landbridge ไทย กับควาามน่าลงทุน และความพร้อมในหลากมิติ จะชักนำการเข้ามาลงทุนได้ไม่มากก็น้อย สัญญาณที่ดีอย่างหนึ่ง คือ การบอกกล่าวเล่าขานถึงการเตรียมเข้ามาดูสถานที่จริง ณ ประเทศไทย เมื่อถึงเวลานั้น เราคงได้รู้ว่า ธุรกิจไหนบ้างที่จะเข้ามาลงทุนจริง แต่ช่วงนี้เวลานี้ ให้เซลล์แมนประเทศ คือ ท่านนายกฯ เศรษฐา และคณะ ได้บอกกล่าวเล่าขานศักยภาพประเทศไทยไปก่อน
