แจง กุ้งไทยผันผวน ตามตลาดโลก ไม่เกี่ยวกุ้งนำเข้า

14 มิ.ย. 2567 - 05:40

  • กรมประมงแจง กุ้งนำเข้าไม่ใช่เหตุ ทำราคาในประเทศตกต่ำ

  • ตอกย้ำ ความผันผวนที่เกิดขึ้น เป็นไปตามตลาดโลก

  • จัดทางแก้ ยกระดับมาตรการคุมเข้มจังหวัดชายแดน กันลอบนำเข้าผิดกฎหมาย

shrimp-prices-fall-importing-control-border-smuggling-lobster-SPACEBAR-Hero.jpg

กรณีสื่อรายงานข้อกังวลของเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งทะเลหลายพื้นที่ ชี้ปมมีการนำเข้ากุ้งทะเลจากต่างประเทศ จนส่งผลกระทบเสถียรภาพราคากุ้งทะเลภายในประเทศ ซ้ำเติมเกษตรกร

เรื่องนี้ บัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง ประธานกรรมการบริหารจัดการห่วงโซ่การผลิตกุ้งทะเลและผลิตภัณฑ์ หรือ ชริมพ์บอร์ด (Shrimp Board) เร่งแจง โดยชี้ว่า การนำเข้ากุ้งทะเลทั้งหมดและเป็นกุ้งที่ประเทศไทย โดยเกษตรกรไทย ไม่สามารถเพาะเลี้ยงได้ จึงต้องมีการนำเข้า ให้ตัวเลขการนำเข้าช่วง 3 เดือนแรก (มกราคม - เมษายน) ของปี 2567 ด้วยว่า ประเทศไทยมีการนำเข้าสินค้าและผลิตภัณฑ์กุ้งทะเล (ไม่รวม ล็อบสเตอร์) 5,440.42 ตัน มูลค่า 788.49 ล้านบาท ปริมาณและมูลค่านี้ ถือเป็นยอดที่ลดลงร้อยละ 51.65 และ 66.46 ตามลำดับ เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา จำแนกให้เห็นด้วยว่า มีกุ้งอะไรเท่าไหร่? โดย กุ้งขาวแวนนาไม มีเพียง 389.58 ตัน (หรือร้อยละ 7.16), กุ้งกุลาดำ จำนวน 2.24 ตัน (ร้อยละ 0.04) และกุ้งอื่น ๆ 5,048.61 ตัน (ร้อยละ 92.80) 

ไทยนำเข้ากุ้ง จากประเทศไหน เท่าไหร่?

สำหรับการนำเข้ากุ้งทะเลนั้น มีตัวเลขนำเข้าจากอาร์เจนตินามากที่สุดถึงร้อยละ 46.08 ของมูลค่าการนำเข้ากุ้งทะเลทั้งหมดและเป็นกุ้งที่ไม่สามารถเพาะเลี้ยงได้ในประเทศไทย ขณะที่การนำเข้ากุ้งทะเล จากอินเดีย และเอกวาดอร์ ซึ่งเป็นสองประเทศที่เกษตรกรมีความห่วงกังวล พบว่า กุ้งจากอินเดียเป็นกุ้งอื่นๆ รวม 268.79 ตัน และกุ้งจากเอกวาดอร์เป็นกุ้งขาวแวนนาไม รวม 352.34 ตัน

ทั้งนี้ ปริมาณการนำเข้ากุ้งขาวแวนนาไมจากต่างประเทศในปี 2567 (เดือนมกราคม - เดือนเมษายน) รวม 389.58 ตัน เปรียบเทียบกับปริมาณการผลิตกุ้งขาวแวนนาไมภายในประเทศไทยในช่วงเวลาเดียวกันซึ่งมีปริมาณรวม 63,172.44 ตัน คิดเป็นสัดส่วนเพียงร้อยละ 0.62 ของผลผลิตกุ้งขาวแวนนาไมภายในประเทศเท่านั้น ซึ่งไม่สามารถกระทบต่อราคาจำหน่ายกุ้งภายในประเทศได้

shrimp-prices-fall-importing-control-border-smuggling-lobster-SPACEBAR-Photo01.jpg

ยกระดับคุมเข้มชายแดนลักลอบนำเข้า

นอกจากนี้ กรมประมงมีมาตรการควบคุมการนำเข้ากุ้งทะเลจากต่างประเทศ ก่อนการอนุญาตให้นำกุ้งทะเลเข้ามาในราชอาณาจักร ภายใต้พระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2558 โดยสินค้าจะต้องเข้าสู่ระบบการกักกันเพื่อให้เจ้าหน้าที่กรมประมงดำเนินการสุ่มตรวจเชื้อก่อโรคกุ้งทะเลที่สำคัญตามบัญชีรายชื่อขององค์การสุขภาพสัตว์โลก โดยเฉพาะโรคอุบัติใหม่ ได้แก่ โรคไอเอ็มเอ็น (IMN) โรคเอ็นเอชพี (NHP) และโรคดีไอวี วัน (DIV 1) รวมทั้งมีการสุ่มตรวจสารตกค้าง เช่น Chloramphenicol Nitrofurans และ Malachite green ภายใต้พระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 ตามหลักการสากลที่ WOAH และ CODEX กำหนดไว้

และหากมีการตรวจพบเชื้อก่อโรคและ/หรือตรวจพบสารตกค้างเกินเกณฑ์มาตรฐาน สินค้าเหล่านั้นจะถูกทำลายหรือตีกลับประเทศต้นทางทันที 

สำหรับการประกาศงดการออกหนังสืออนุญาตนำเข้ากุ้งทะเลจากต่างประเทศ ต้องเป็นมาตรการที่ดำเนินการในกรณีฉุกเฉิน ซึ่งเป็นกุ้งที่ได้จากการทำการประมงและมีเหตุอันควรที่ใช้ชั่วคราวเท่านั้น เพราะประเทศไทยและประเทศผู้ผลิตกุ้งทะเลเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก (World Trade Organization: WTO) ต้องปฏิบัติตามความตกลงภายใต้ WTO โดยมาตรการที่ใช้ในการจำกัดการนำเข้าสินค้าเกษตรและอาหาร หรือมาตรการที่กำหนดขึ้นเพื่อใช้ควบคุมสินค้าเกษตรและอาหารต้องกำหนดระดับความปลอดภัยและการตรวจสอบมาตรฐานสินค้านำเข้าที่ไม่ก่อให้เกิดอุปสรรคทางการค้า หรือข้อกีดกันทางการค้าของประเทศสมาชิก นี่จึงทำให้ประเทศไทยและประเทศสมาชิกไม่สามารถกำหนดมาตรการการห้ามนำเข้าได้อย่างถาวร

อธิบดีกรมประมง ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันได้มีการยกระดับมาตรการควบคุมการนำเข้าสินค้าสัตว์น้ำ ภายใต้การดำเนินการของกรมประมง และขอความร่วมมือไปยังจังหวัดชายแดนเพื่อควบคุมการนำเข้าสินค้าสัตว์น้ำ ด้วยแล้ว

shrimp-prices-fall-importing-control-border-smuggling-lobster-SPACEBAR-Photo02.jpg

แจงวัฏจักรราคากุ้งในประเทศ ตกต่ำ 2 ช่วง

ทั้งนี้ กรมประมงขอยืนยันว่า ยังไม่พบการลักลอบนำเข้ากุ้ง ซึ่งส่งผลกระทบทำให้ราคากุ้งภายในประเทศลดต่ำลง ตามข้อห่วงกังวลของพี่น้องเกษตรกร โดยวัฏจักรราคากุ้งในประเทศไทยพบว่ามีช่วงที่ราคาตก 2 ช่วง ในรอบปี คือ ช่วงเดือนเมษายน - เดือนพฤษภาคม และเดือนกันยายน - เดือนตุลาคม ซึ่งเป็นไปตามภาวะราคากุ้งในตลาดโลก และกลไกตลาดตามหลักการอุปสงค์ - อุปทาน เมื่อตลาดโลกมีความต้องการสูงราคาจะเพิ่มขึ้น แต่เมื่อผลผลิตมีมากเกินความต้องการราคากุ้งก็จะต่ำลง และยังคงพบว่าราคาในปีนี้เริ่มลดลงในเดือนเมษายนเหมือนที่ผ่านมา

นอกจากนี้ ราคากุ้งภายในประเทศยังมีความแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ โดยพบว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราคาจำหน่ายกุ้งแต่ละพื้นที่มีความแตกต่างกัน คือ รูปแบบและช่องทางการจำหน่ายผลผลิตกุ้งของเกษตรกร โดยภาคตะวันออกและภาคกลางมีช่องทางการจำหน่ายผลผลิตกุ้งทะเล 2 ช่องทางหลัก ได้แก่ ตลาดภายในประเทศ (ตลาดหลัก) และตลาดต่างประเทศ (จำหน่ายเข้าห้องเย็นและโรงงานแปรรูป) โดยตลาดภายในประเทศมีการกระจายสินค้าไปยังภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียง ได้แก่ ลาว และกัมพูชา 

สำหรับผลผลิตกุ้งที่มีคุณภาพยังนิยมจำหน่ายเป็นกุ้งมีชีวิต เพื่อส่งไปคัดขนาดก่อนกระจายไปยังตลาดภายในประเทศ และบางส่วนส่งเข้าโรงงานแปรรูป ทำให้กุ้งมีราคาค่อนข้างสูง แต่ภาคใต้ตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราชลงไป ซึ่งมีช่องทางการจำหน่ายผลผลิตหลัก คือ การส่งออกกุ้งแช่เย็นไปยังประเทศมาเลเซีย โดยอาจผ่านผู้รวบรวม (แพ) หลายทอด ทำให้ราคารับซื้อกุ้งจากเกษตรกรค่อนข้างต่ำ ประกอบกับประเทศมาเลเซียมีการนำเข้ากุ้งทะเลจากเอกวาดอร์และอินเดียที่มีราคาต่ำจึงใช้เป็นราคาอ้างอิงในการรับซื้อกุ้งจากประเทศไทย

shrimp-prices-fall-importing-control-border-smuggling-lobster-SPACEBAR-Photo03.jpg

อธิบดีกรมประมง กล่าวด้วยว่า จากปัญหาราคากุ้งตกต่ำที่กล่าวมาข้างต้น เกษตรกรยังประสบปัญหาต้นทุนการเลี้ยงที่สูงกว่าประเทศคู่แข่ง ทำให้เกษตรกรมีรายได้ลดลง รวมถึงผู้ส่งออกสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งที่ผ่านมากรมประมงได้ดำเนินการเพื่อลดต้นทุนการเลี้ยงให้เกษตรกรผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ดังนี้

1. การส่งเสริมการใช้พลังงานทางเลือกทดแทนการใช้พลังงานไฟฟ้า โดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar cell) ซึ่งกรมประมงได้แนะนำให้เกษตรกรเปลี่ยนมาใช้มอเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรงแบบไม่มีแปรงถ่าน ร่วมกับการใช้ Solar cell สำหรับการเติมอากาศในฟาร์มเพาะเลี้ยงกุ้งทะเล ซึ่งสามารถช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการลงทุนติดตั้งอุปกรณ์ โดยเกษตรกรสามารถลดต้นทุนพลังงานได้ถึง 3,500 - 4,000 บาท/เดือน/ชุด และคืนทุนได้ภายในระยะเวลา 1 ปี ซึ่งผลการทดสอบในฟาร์มเกษตรกรจังหวัดสมุทรสาคร ต้นทุนด้านพลังงานไฟฟ้าเกษตรกรลดลงไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 เหลือเพียง 2.8 - 3.0 บาท/กุ้ง 1 กิโลกรัม

2. การส่งเสริมการใช้จุลินทรีย์ในการเพาะเลี้ยงกุ้งทะเล ซึ่งกรมประมงดำเนินการผลิตหัวเชื้อจุลินทรีย์ ปม. 1 (แบบผง) และ ปม. 2 (แบบน้ำ) เพื่อแจกจ่ายให้กับเกษตรกร และส่งเสริมแนวทางการเลี้ยงกุ้งระบบปิดร่วมกับการใช้จุลินทรีย์โพรไบโอติกที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสมสำหรับกุ้งทะเล ทดแทนการใช้ยาและสารเคมี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการเลี้ยง เพิ่มอัตรารอดของกุ้ง ลดการใช้ยาและเคมีภัณฑ์โดยไม่จำเป็น ช่วยให้ต้นทุนการผลิตกุ้งลดลง เกษตรกรสามารถจำหน่ายกุ้งมีกำไร และมีความยั่งยืนมากขึ้น

3. การส่งเสริมการใช้อาหารกุ้งที่มีระดับโปรตีนเหมาะสมกับการเลี้ยงกุ้งทะเล ซึ่งกรมประมงส่งเสริมให้เกษตรกรเลือกใช้อาหารที่มีโปรตีนในระดับที่เหมาะสมกับสายพันธุ์และระยะของกุ้งทะเล เพื่อลดต้นทุนค่าอาหาร รวมถึงค่าจัดการควบคุมคุณภาพน้ำให้เหมาะสม กรมประมง ชมรมผู้เลี้ยงกุ้งจังหวัดฉะเชิงเทราและบริษัทผู้ผลิตอาหารกุ้งทะเล ร่วมกันทดสอบการเลี้ยงกุ้งโดยใช้อาหารที่มีระดับโปรตีนร้อยละ 32 และ 35 ในฟาร์มเลี้ยงกุ้งขาวแวนนาไมของเกษตรกร โดยกำหนดให้เพิ่มสัดส่วนวัตถุดิบกากถั่วเหลืองหมักที่หมักด้วยเชื้อ Bacillus subtilis ทดแทนกากถั่วเหลือง 

ผลการทดสอบ พบว่า หลังจากเปลี่ยนมาใช้อาหารโปรตีนร้อยละ 35 (ราคา 870 บาทต่อกระสอบ) ทดแทนอาหารโปรตีนร้อยละ 38 (ราคา 1,045 บาทต่อกระสอบ) สามารถลดต้นทุนค่าอาหารประมาณ 43,400 บาท/บ่อ และยังช่วยลดต้นทุนในการควบคุมคุณภาพน้ำให้เหมาะสม รวมถึงลดความเสี่ยงการเกิดโรค โดยเฉพาะอาการขี้ขาวที่เกิดจากปัญหาสารอินทรีย์สะสม โดยเกษตรกรมีผลผลิตเฉลี่ยประมาณ 5,575 กิโลกรัมต่อบ่อ และมีค่าอัตราแลกเนื้อ (Feed conversion ratio: FCR) เท่ากับ 1.12

นอกจากนี้ กรมประมงยังพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาเพิ่มเติมดังนี้
1. ส่งเสริมให้เกษตรกรร่วมกับผู้ประกอบการวางแผนการผลิตกุ้งร่วมกันเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด
2. ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการจัดทำโครงการเชื่อมโยงการจำหน่ายผลผลิตกุ้งทะเลระหว่างเกษตรกรและธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) เพื่อเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้าภายในประเทศ
3. จัดทำโครงการเพื่อลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกรอย่างยั่งยืน เช่น การลดต้นทุนด้านอาหาร และการใช้พลังงานไฟฟ้า เป็นต้น

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์