นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เผยทิศทางการพัฒนา SMEs ของกระทรวงอุตสาหกรรม ในวงเสวนาของสภาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สภาเอสเอ็มอี) ว่า ภาคอุตสาหกรรมมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ กระทรวงอุตสาหกรรม จึงได้มีการกำหนดนโยบาย “ปฏิรูปอุตสาหกรรม สู่เศรษฐกิจยุคใหม่ ทันสมัย สะอาด สะดวก โปร่งใส” เพื่อมุ่งเน้นการปฏิรูปภาคอุตสาหกรรมใน 3 ด้านหลัก ได้แก่
‘สู้’ เพื่อจัดการกากอุตสาหกรรมที่เป็นพิษ
‘เซฟ’ เพื่อส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทย สร้างความเท่าเทียมในการแข่งขันของ SME ไทย และ
‘สร้าง’ เพื่อสร้างอุตสาหกรรมเศรษฐกิจใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รองรับการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่

“เวลาของรัฐบาลไม่รู้นานเท่าไหร่ ผมประกาศเรื่องสำคัญที่ต้องเดินหน้าให้เร็วที่สุดเรื่องหนึ่ง คือการ “สู้เพื่ออุตสาหกรรมไทย เพื่อเอสเอ็มอีไทย” โดยจะทำตั้งแต่เดย์วัน จนกว่าภารกิจนี้จะสำเร็จ ปัจจุบันจะเห็นได้ว่าเอสเอ็มอีมีความหลากหลาย ถือเป็นเสน่ห์ของเศรษฐกิจไทย ที่แม้มีความเล็กแต่กระจายออก ถ้าบริหารจัดการดีก็ยิ่งดี ช่วยระบบนิเวศอุตสาหกรรมไทยเติบโตได้อย่างแข็งแรง แต่งานจะสำเร็จ-จะพัฒนาเอสเอ็มอีให้ดีพร้อมได้ ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย ทั้งกระทรวง ทบวงกรม ภาคประชาชน และต่างประเทศ อุตสาหกรรมเศรษฐกิจใหม่ ทุกคนรับโจทย์ไปแล้ว ทั้งแง่การแข่งขันเปลี่ยนไปทุกฝ่ายต้องช่วยกันตอบโจทย์ใหญ่ของโลก ช่วยกันรักษาสิ่งแวดล้อม พร้อมตอบโจทย์ความยั่งยืน และต้องมีความรับผิดชอบ”

นายเอกนัฏ กล่าวเพิ่มเติมว่า ภายใต้นโยบาย ‘ปฏิรูปอุตสาหกรรม สู่เศรษฐกิจยุคใหม่ฯ’ กระทรวงอุตสาหกรรมจะเดินหน้าเซฟ SMEs ไทย สร้างความเท่าเทียมในการแข่งขัน เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในระดับสากลและเติบโตอย่างยั่งยืน ร่วมกับสภาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทยที่ได้รวบรวมผู้ประกอบการขนาดย่อมในการขับเคลื่อนให้เป็นผู้ประกอบการกลางและขนาดใหญ่ เพื่อมุ่งสู่อุตสาหกรรมใหม่ โดยมีแนวทางการดำเนินงาน ดังนี้
1. ปกป้อง SME ไทยจากคลื่นการลงทุนของบริษัทข้ามชาติและการทุ่มตลาดของสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศ โดยการพิจารณากำหนด หรือ ปรับปรุง มาตรการ กฎระเบียบ และสิทธิประโยชน์ที่เกี่ยวข้องให้มีความครอบคลุม สร้างระบบนิเวศการแข่งขันที่มีความเท่าเทียม โดยเฉพาะการตรวจบังคับด้านมาตรฐานสินค้า และสร้างความเท่าเทียมด้านภาษีระหว่างร้านค้าที่มีหน้าร้านในไทย ผู้ประกอบการออนไลน์ที่อยู่ในไทยและผู้ประกอบการออนไลน์ต่างประเทศ
2. ยกระดับขีดความสามารถของ SME ไทยให้สามารถแข่งขันได้และทันต่อเศรษฐกิจยุคใหม่ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมผ่านกลไกการส่งเสริมของกระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานพันธมิตร โดยเฉพาะการเข้าถึงแหล่งเงินทุน การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมและการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลิตภัณฑ์ รวมทั้งการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากต่างประเทศเพื่อเพิ่มขีดความสามารถ SME ไทยให้สามารถแข่งขันได้ทัดเทียมกับนานาประเทศ ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือกันระหว่างภาคอุตสาหกรรมและหน่วยงานระดับกระทรวงและกรมที่เกี่ยวข้องในการขับเคลื่อนร่วมกัน
3. ริเริ่มนิคมอุตสาหกรรม SME เพื่อสนับสนุนการสร้างห่วงโซ่อุปทาน
4. ผลักดันการขับเคลื่อนมาตรการ ‘Made by Thais’ และ ‘SME GP’ เพื่อส่งเสริมให้เกิดการเลือกผลิตภัณฑ์ของ SME ไทยในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ตลอดจนการอุปโภค บริโภคทั่วไป และ
5. จัดตั้ง SME War Room ภายใต้กระทรวงอุตสาหกรรมเพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนกระบวนการยกระดับขีดความสามารถ แก้ไขปัญหา และสร้างความเท่าเทียมในการแข่งขันให้กับ SME ทั้งระบบ

“ผมขอยืนยันว่ากระทรวงอุตสาหกรรมมีความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ที่จะเป็นพลังขับเคลื่อนหลักในการยกระดับ SME ไทยสู่เวทีการแข่งขันระดับโลก ผ่านการผลักดันนโยบาย “ปฏิรูปอุตสาหกรรม สู่เศรษฐกิจยุคใหม่ฯ” และกลไกการดำเนินงานสำคัญตามที่ได้กล่าวไป กระทรวงอุตสาหกรรมมองเห็นอนาคตที่ SME ไทยจะเป็นผู้นำในการสร้างนวัตกรรม เป็นต้นแบบของการพัฒนาที่ยั่งยืน และเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจยุคใหม่ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ประกอบกับความร่วมมือ และการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากภาครัฐ และภาคเอกชน จะทำให้ SME ไทยได้รับการยกระดับให้สามารถก้าวข้ามข้อจำกัด และความท้าทายต่าง ๆ เพื่อเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน”
นายเอกนัฏ กล่าว


