กลุ่มเศรษฐศาสตร์เพื่อสังคม ชี้ช่องว่าง หาก กม.แทรก ธปท.ได้

23 พ.ย. 2567 - 06:02

  • กลุ่มเศรษฐศาตร์เพื่อสังคม ยังห่วง ‘การเมืองแทรกแซงแบงก์ชาติ’

  • ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 4 ชี้ช่องว่าง หากกลุ่มการเมืองแทรกแซงแบงก์ชาติ แล้วอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง?

  • ชี้ปมความเลวร้าย เพื่อ ครม.รอบคอบพิจารณา

social_economics_group_politics_intervenes_bot_statement_4_SPACEBAR_Hero_0e3035d9de.jpg

กลุ่มเศรษฐศาตร์เพื่อสังคม ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 4 ก่อนที่จะมีการส่งชื่อ ‘กิตติรัตน์ ณ ระนอง’ ผู้ได้รับเลือกฯ ให้เป็นประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (ประธานบอร์ดแบงก์ชาติ) คนใหม่ เพื่อให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติ ซึ่งคาดว่า จะเป็นวันที่ 26 พฤศจิกายน 2567 นี้ โดยตั้งหัวข้อแสดงความเป็นห่วง ว่า “หากกลุ่มการเมืองแทรกแซงธนาคารแห่งประเทศไทยได้ อะไรจะเกิดขึ้น?” มีเนื้อหา ระบุข้อความดังต่อไปนี้

ตามที่กลุ่มเศรษฐศาสตร์เพื่อสังคม รวมทั้งอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย 4 ท่าน และสถาบันอื่นได้ออกแถลงการณ์แสดงความห่วงกังวลถึง การแทรกแซงครอบงำจากกลุ่มการเมืองที่จะมีต่อธนาคารแห่งประเทศไทย ก่อนที่คณะรัฐมนตรีจะได้ลงมติเห็นชอบหรือไม่ กับบุคคลที่กรรมการคัดเลือกได้เสนอให้เป็นประธานและกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย

กลุ่มเศรษฐศาสตร์เพื่อสังคม ขอแจกแจงเหตุการณ์เลวร้ายซึ่งเป็นช่องว่างที่อาจเกิดขึ้นได้ เพื่อให้คณะรัฐมนตรีได้พิจารณาอย่างรอบคอบ ก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าต่อพระมหากษัตริย์ให้ทรงแต่งตั้ง  ดังต่อไปนี้

ตำแหน่งประธานและกรรมการธนาคารแห่งชาติ (บอร์ดแบงก์ชาติ) เป็นตำแหน่งที่มีอำนาจและอิทธิพลต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ เพราะมีความเชื่อมโยงกับการแต่งตั้งผู้กำหนดนโยบายทางการเงิน นโยบายกำกับดูแลธนาคารพาณิชย์ และมีบทบาททางตรงในการบริหารเงินสำรองระหว่างประเทศ หากได้บุคคลที่เหมาะสมก็จะเป็นการช่วยสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและคุ้มครองผลประโยชน์ของประชาชน แต่ขณะเดียวกันหากได้บุคคลที่มีปัญหาก็เป็นการเปิดโอกาสให้มีการแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน หรือใช้สนองนโยบายทางการเมืองที่มุ่งประโยชน์เฉพาะหน้าหรือเฉพาะกลุ่มก็จะส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของประชาคมโลกในระยะยาว

ถึงแม้ว่าประธานและคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย จะไม่ได้กำหนดนโยบายดอกเบี้ยโดยตรง ไม่ได้มีหน้าที่กำกับการแทรกแซงค่าเงินบาทโดยตรง แต่ก็อาจรู้ล่วงหน้าว่าแบงก์ชาติจะปรับดอกเบี้ยขึ้นหรือลง หรือจะเข้าแทรกแซงค่าเงินบาทเมื่อใด เพราะอาจส่งคนของตนเข้าไปเป็นคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายการเงินข้อมูลล่วงหน้า เหล่านี้สามารถนำไปใช้เก็งกำไรในตลาดการเงินหรือการลงทุนได้ เช่น  ทำการซื้อหรือขายหุ้นล่วงหน้า (insider trading) หรือในกรณีการแทรกแซงค่าเงินบาทนั้น หากรู้ก่อนก็สามารถหาประโยชน์ได้มหาศาล 

ตัวอย่างในประเทศไทยเกิดขึ้นในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งปี 2540 ที่มีข้อกังขาว่านักการเมืองและกลุ่มพวกพ้องได้ใช้ข้อมูลที่รู้ล่วงหน้าเกี่ยวกับการลดค่าเงินบาท เปลี่ยนเงินบาทของตนเป็นดอลลาร์ล่วงหน้า สร้างกำไรให้ตัวเอง ขณะที่เศรษฐกิจทั้งประเทศเผชิญความเสียหายรุนแรง ประชาชนต้องแบกรับภาระหนักจากการล่มสลายของระบบการเงิน

หากนโยบายการเงินถูกแทรกแซงให้สนองนโยบายทางการเมืองเป็นหลัก ก็จะเกิดผลเสียตามมามากมาย ตัวอย่างเช่น การลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น แม้จะช่วยเพิ่มการจับจ่ายใช้สอยในช่วงแรก แต่ในระยะยาวกลับสร้างปัญหาใหม่ เช่น หนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว หรือการเพิ่มอัตราเงินเฟ้อจนค่าครองชีพสูงขึ้น ตัวอย่างในกรณีของประเทศอาร์เจนตินา หลายครั้งที่รัฐบาลกดดันให้ธนาคารกลางลดดอกเบี้ยและปล่อยให้เงินเฟ้อพุ่งสูง ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาว

ในส่วนการแทรกแซงค่าเงินบาทนั้น นักการเมืองมักจะชอบสร้างภาพผลงานที่เกินจริง หรือปกปิดผลกระทบเชิงลบจากการทำนโยบาย เพื่อให้ได้การยอมรับและเสียงสนับสนุนจากประชาชน เช่น อ้างว่าได้ทำการสั่งแบงก์ชาติแทรกแซงเงินบาทเพื่อดันเป้าส่งออกไทยโต 15%

social_economics_group_politics_intervenes_bot_statement_4_SPACEBAR_Photo01_dbdb8cc9ab.jpg

ประวัติในอดีตของผู้ที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทยในครั้งนี้ เขาเคยดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เคยพูดเท็จเพื่อหวังผลทางการเมืองมาแล้ว และอ้างว่าเป็นการโกหกด้วยเจตนาดี หรือ ‘โกหกสีขาว’ ซึ่งส่งผลเสียต่อความน่าเชื่อถือไม่เพียงของรัฐบาลแต่กระทบถึงความน่าเชื่อถือของธนาคารแห่งประเทศไทยด้วย

ถ้ากลุ่มการเมืองมีอำนาจเหนือธนาคารแห่งประเทศไทย อาจสั่งหรือกดดันให้แบงก์ชาติรับซื้อพันธบัตรรัฐบาลในตลาดแรกเพื่อให้รัฐบาลกู้เงินได้ง่ายขึ้น (monetary financing) เป็นการกระทำที่ผิดหลักสากลของวินัยการเงินการคลัง เสมือนการพิมพ์แบงก์เพิ่มปริมาณเงินตราในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือค่าเงินและวิกฤติเงินเฟ้อ (กรณี Zimbabwe ช่วง 2000s / Venezuela ช่วง 2010s / Argentina หลายครั้ง)

ส่วนอำนาจโดยตรงในการบริหารจัดการสินทรัพย์ต่างประเทศที่แบงก์ชาติลงทุน ก็มีผลประโยชน์มหาศาล เช่น 

(ก) ผู้หวังผลประโยชน์ สามารถรู้ล่วงหน้าว่าจะมีการเพิ่มหรือลดน้ำหนักการลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศหรือสินทรัพย์ในประเทศ ซึ่งจะทำให้สามารถเก็งกำไรในสินทรัพย์นั้นก่อนการซื้อ-ขายได้

(ข) เปิดโอกาสให้ฝ่ายการเมืองนำเงินสำรองของประเทศมาใช้ในทางที่ผิด  เช่น การนำเงินสำรองมาชำระหนี้รัฐบาล โดยสามารถแก้กฎหมายให้นำเงินสำรองไปใช้หนี้ที่กองทุน FIDF ต้องนำส่งภาครัฐแทนที่จะไปเก็บจากภาคธนาคาร เป็นการปลดล็อกเพดานการกู้ยืมของรัฐบาลให้สามารถทำนโยบายประชานิยมอื่นๆ เพิ่มเติม เพื่อหาคะแนนนิยมได้

การกระทำนี้อาจช่วยรัฐบาลในระยะสั้น แต่จะลดความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติและอาจสร้างปัญหาในยามที่ประเทศต้องการเงินสำรองไว้รองรับวิกฤต  ดังจะเห็นจากตัวอย่างในกรณีของประเทศซิมบับเว ที่รัฐบาลดึงเงินสำรองมาใช้มากเกินไป ส่งผลให้ค่าเงินล่มสลายและประชาชนประสบปัญหาค่าครองชีพพุ่งสูงขึ้นอย่างรุนแรง

การนำเงินสำรองมาใช้นี้เป็นข้อเรียกร้องมาตลอดของกลุ่มนักการเมืองที่ต้องการเข้าแทรกแซงธนาคารแห่งประเทศไทย โดยไม่ได้ตระหนักความเป็นจริงพื้นฐานว่าเงินสำรองเป็นของประเทศ ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการทำมาหาได้ของธุรกิจ และอีกส่วนมาจากการนำเงินเข้ามาลงทุนของต่างชาติ ซึ่งมีข้อจำกัดในการนำออกไปใช้

นอกจากนี้ หากตำแหน่งประธานและกรรมการบอร์ดแบงก์ชาติยังมีอิทธิพลต่อกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน เอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนใหญ่ เช่น การผ่อนปรนกฎเกณฑ์ให้ธนาคารพาณิชย์สามารถปล่อยกู้ให้กับลูกหนี้รายใหญ่ได้มากขึ้น หากธุรกิจของลูกหนี้เหล่านี้ล้มเหลว ผลกระทบจะไม่จำกัดแค่บริษัทเหล่านั้น แต่จะกระจายไปถึงประชาชนทั่วไปที่ฝากเงินกับธนาคาร และอาจนำไปสู่การล้มของธนาคารทั้งระบบ ตัวอย่างในต่างประเทศ เช่น วิกฤติซับไพรม์ในสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2008 เกิดขึ้นจากการปล่อยสินเชื่อที่ไม่มีคุณภาพ (Subprime Mortgages) ซึ่งส่งผลกระทบร้ายแรงต่อระบบการเงินทั่วโลก

ประธานและคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย มีอำนาจในการอนุมัติการแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูงของธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น ตำแหน่งรองผู้ว่าการ และผู้ช่วยผู้ว่าการ  เปิดช่องทางให้รัฐบาลแทรกแซงการทำนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย ด้วยการนำผู้ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับการเมืองเข้ามาเป็นผู้บริหาร หรือในคณะกรรมการต่าง ๆ เพื่อกำหนดนโยบายตามความต้องการของกลุ่มการเมือง เช่นเดียวกับที่เห็นในวิกฤติตอนปี 2540 ซึ่งคณะกรรมการศึกษาและเสนอแนะมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการระบบการเงินของประเทศ (ศปร.) ได้รายงานข้อเท็จจริงไว้ว่า “สาเหตุที่สำคัญของวิกฤติการณ์ครั้งนั้นเกิดจากผู้บริหารธนาคารแห่งประเทศไทยที่สนองความต้องการของฝ่ายการเมืองขณะนั้นอย่างเต็มที่”

ประธานและคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทยยังมีส่วนในการดำเนินนโยบายการปรับโครงสร้างหนี้ครัวเรือน ซึ่งหากทำเรื่องนี้ในลักษณะนโยบายประชานิยมที่ไม่คำนึงถึงผลระยะยาว  เช่น การอนุญาตให้พักชำระหนี้ยาวนานเกินไปจนลูกหนี้ขาดวินัยทางการเงินก็จะเกิดผลเสีย เพราะบางครั้งการแก้หนี้แบบไม่สมเหตุสมผล ทำให้เกิดหนี้เสียในระบบการเงินเพิ่มขึ้น และส่งผลกระทบต่อธนาคารและผู้ฝากเงินในที่สุด

การใช้ตำแหน่งประธานบอร์ดแบงก์ชาติ ‘ในทางที่ผิด’ ไม่ได้กระทบเพียงแค่เศรษฐกิจในประเทศเท่านั้น แต่ยังส่งผลถึงความเชื่อมั่นจากต่างชาติและการลงทุนระหว่างประเทศ การมีระบบตรวจสอบที่เข้มงวดและโปร่งใสจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อป้องกันการแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวและรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจในระยะยาว โดยเฉพาะในประเทศที่ระบบการเมืองยังไม่มีเสถียรภาพ การบริหารเงินสำรองและนโยบายการเงินต้องถูกดำเนินการด้วยความโปร่งใสและยึดถือผลประโยชน์ของประชาชนในระยะยาวเป็นสำคัญที่สุด

                                                           พฤศจิกายน พ.ศ.2567

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์