ประวัติศาสตร์บอกเราว่า ไม่เคยมีใครอยู่จุดสูงสุดได้ตลอดกาล
ในช่วง 500 กว่าปีที่ผ่านมา ก่อนสหรัฐอเมริกาจะขึ้นมาเป็นผู้นำโลก มีหลายประเทศผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนขึ้นมาเป็นมหาอำนาจครั้งแล้วครั้งเล่า เช่นเดียวกับมหาอำนาจในตลาดรถยนต์ ที่มีการผลัดบัลลังก์อยู่เสมอ
SPACEBAR รวบรวมตัวเลขจำนวนการผลิตรถยนต์ในโลกจาก 5 ประเทศมหาอำนาจแห่งตลาดยานยนต์ ตั้งแต่ปี 1950-2022 มาเทียบเคียง เพื่อแสดงให้เห็นกราฟชีวิตที่ผ่านมาของประเทศผู้ยืนอยู่แถวหน้าตลาดรถยนต์โลกวันนี้

ตัวเลขล่าสุด ปี 2022 จีนเป็นประเทศที่ผลิตรถยนต์มากที่สุดในโลก 27,020,615 คัน คิดเป็น 31% หรือเกือบ 1 ใน 3 ของยอดการผลิตรถยนต์ทั่วโลกทั้งปี (ยอดผลิตทั้งหมดอยู่ที่ 85,016,728 คัน)
มากกว่าอันดับ 2 สหรัฐอเมริกาที่ผลิตได้ 10,060,339 คัน เกือบ 3 เท่าตัว และอันดับ 3 ญี่ปุ่น 7,835,519 คันตามหลังอยู่หลายช่วงตัว
และถ้าดูแนวโน้มจากกราฟ จะเห็นว่าปริมาณการผลิตของจีนเริ่มถ่างออกจากประเทศอื่นมากขึ้นเรื่อยๆ
แน่นอน ตัวเลขจำนวนการผลิตอาจไม่ได้สะท้อนความจริงในทุกมิติ แต่อย่างน้อยก็แสดงให้เห็นข้อเท็จจริงว่า ณ ช่วงเวลานั้นใครกำลังเป็นเจ้าตลาด
ซึ่งเจ้าตลาดมักมีอำนาจในการกำหนดเกมและต่อรองมากกว่าผู้เล่นคนอื่นเสมอ เหมือนที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในช่วงร้อยกว่าปีที่ผ่านมา
- รถยนต์คันแรกเริ่มต้นที่ยุโรป ปี 1886 ณ ประเทศเยอรมนี หลัง คาร์ล เบ็นทซ์ (Karl Friedrich Benz) ประดิษฐ์รถใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงคันแรกของโลก
- ยุโรปเป็นผู้นำตลาดรถยนต์ในช่วงนั้น จนกระทั่งวิศวกรชาวอเมริกัน เฮนรี ฟอร์ด (Henry Ford) คิดค้นการผลิตแบบสายพาน (assembly-line) ที่ต่อมากลายเป็นต้นแบบของกระบวนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม การผลิตวิถีใหม่ (ในเวลานั้น) ช่วยประหยัดต้นทุน เวลา และเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตทั้งในแง่ปริมาณและคุณภาพ
- รถยนต์ Ford Model T เป็นสินค้าชิ้นแรกจากการผลิตดังกล่าวในปี 1908 ได้สร้างแรงสั่นเทือนตลาดรถยนต์ทั่วโลก ด้วยการเป็นรถยนต์รุ่นแรกที่มีราคาในระดับที่ชนชั้นกลางเอื้อมถึง หลังจากนั้นสหรัฐอเมริกาก็ขึ้นมาเป็นผู้นำตลาดรถยนต์แทนที่ยุโรป และเป็นผู้ผลิตรถยนต์มากที่สุดในโลก
- ญี่ปุ่นประเทศที่เร่งสร้างตัวหลังแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 ค่อยๆ ผงาดขึ้นมาในตลาดรถยนต์โลกช่วงหลังปี 1960 ด้วยวิถีการผลิตของผู้มาทีหลังที่เน้นการ copy & develop อย่างเข้มข้น จนเปลี่ยนภาพลักษณ์จากประเทศที่โดนดูถูกว่าผลิต ‘รถกระป๋อง’ กลายเป็นประเทศเจ้าของนวัตกรรม และผู้ผลิตและส่งออกรถยนต์ระดับโลก ก่อนจะขึ้นมาท้าทายและแย่งบัลลังก์จากสหรัฐอเมริกา
- การมาถึงของ เทสล่า (Tesla) ที่ส่งรถยนต์รุ่นแรก Tesla Roadster ในปี 2008 จุดกระแสว่า รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ไม่ใช่ความฝัน และะทำให้สหรัฐอเมริกากลับมาอยู่ในสปอตไลท์ของตลาดรถยนต์โลกอีกครั้ง
- ขณะที่ประเทศมหาอำนาจเก่าขับเคี่ยวกันอยู่ นับตั้งแต่ทศวรรษที่ 90s จีนแผ่นดินใหญ่เริ่มต้นผลิตและพัฒนารถยนต์ โดยเน้นตลาดในประเทศเป็นหลัก ด้วยวิถีการผลิตแบบผู้มาทีหลังที่ copy & develop ไม่ต่างกับญี่ปุ่น แต่ด้วยความเป็นผู้มาใหม่และความทะเยอทะยานที่จะมาท้าชนมหาอำนาจของสหรัฐอเมริกา จีนตัดสินใจลุยตลาด EV ซึ่งเป็นตลาดเพิ่งเกิดใหม่ได้ไม่นาน และเป็นอนาคต
- ปี 2017 ค่ายรถจีน BYD Auto เริ่มขยายบริษัทออกนอกประเทศ ตั้งโรงงานผลิตรถบัสและรถบรรทุกไฟฟ้าในยุโรป คลื่นจากค่ายรถยนต์จีนเริ่มซัดออกนอกประเทศ และค่อยๆ ขยายไปทั่วโลก
- บทวิเคราะห์เกี่ยวกับสถานการณ์ตลาดยานยนต์ทั่วโลกในช่วงปี 2022-2023 พูดถึงการผงาดขึ้นของรถ EV จากจีน ตั้งคำถามว่าญี่ปุ่นจะถูกทิ้งไว้ข้างหลังหรือไม่ ทั้งในแง่ของยอดขายและนวัตกรรมการผลิต
หรือ...มหาอำนาจในโลกยานยนต์จะคราวผลัดเปลี่ยนบัลลังก์อีกครั้งในยุค EV