‘ด่วนที่สุด’ ตราปั้มข้อความในเอกสารยืนยันมติคณะรัฐมนตรีเรื่อง การสนับสนุนการผลิตและการใช้รถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle: EV) ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ คือหลักฐานยืนยันว่ารัฐบาลภายใต้การนำของ เศรษฐา ทวีสิน เอาจริงในการผลักดันรถยนต์ไฟฟ้า
ข้อความในจดหมายลงวันที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติ 16 ตุลาคม 2566 ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เดินทางเข้าทำเนียบรัฐบาลมาประชุมด้วย Tesla Model Y สีขาว
“ปกติผมใช้รถ EV อยู่แล้ว ตั้งแต่สมัยอยู่ภาคเอกชน วันนี้เลยนั่งมาประชุม ครม. ด้วย
“รถ EV คือทางเลือกสำหรับอนาคตครับ ช่วยทั้งลดโลกร้อน ลด PM2.5 และประหยัดพลังงาน ดังนั้น รัฐบาลเราจึงสนับสนุนรถ EV และให้ประเทศไทยเป็นจุดศูนย์กลางการผลิต EV ของ Southeast Asia
“โดยรัฐบาลจะเป็น Salesman ในการเชิญชวนให้ทุกผู้ผลิตเข้ามาลงทุนให้มากขึ้นครับ” เศรษฐาโพสต์เฟซบุ๊กช่วงสายวันนั้น (16 ตุลาคม, 10:46 น.)
การขยับตัวของผู้นำประเทศคือการส่งสัญญาณบางอย่าง และรถ Tesla Model Y คือสัญญะที่เศรษฐาใช้ส่งสัญญาณบอกไปยังทุกภาคส่วน และผู้ผลิตรถยนต์นานาประเทศว่า ไทยพร้อมเปิดประตูสู่สังคม EV แล้ว
หลังเศรษฐาเดินลับหายไป เวลาต่อมาคณะรัฐมนตรีก็มีมติสนับสนุน EV เต็มที่ โดยสั่งการให้ทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้องเดินหน้าโดยเร็ว ภายใต้ 3 เป้าหมายหลัก
- ประเทศไทยเป็นผู้นำของอาเซียนด้านการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศ และใช้การพัฒนาที่ยั่งยืนในการขับเคลื่อนประเทศ
- ส่งเสริมการผลิตและการใช้ยานยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ (Zero Emission Vehicle)
- ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าร้อยละ 30 ของกำลังการผลิตยานยนต์ภายในประเทศในปี 2573
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นว่า การจะไปถึงเป้าหมายที่วางไว้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องดำเนินการตาม 5 มาตรการต่อไปนี้ ‘โดยเร็ว’
1. ให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐพิจารณาดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างรถยนต์ไฟฟ้า (EV) มาใช้ในราชการแทนรถยนต์เดิมที่จะหมดอายุการใช้งาน หรือที่จะต้องจัดซื้อจัดจ้างขึ้นใหม่ โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย ระเบียบต่างๆ ให้รองรับการดำเนินการดังกล่าว
2. ให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับกระทรวงการคลังพิจารณากำหนดมาตรการและมาตรฐานเพื่อปรับเปลี่ยนรถสาธารณะทุกชนิด เช่น รถเมล์ แท็กซี่ สามล้อ ให้เป็นรถยนต์ไฟฟ้า (EV)
3. ให้กระทรวงพลังงานร่วมกับกระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดมาตรการ เพื่อสนับสนุนการก่อสร้างโครงข่ายสถานีชาร์จไฟสาธารณะ (EV Station) รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องให้เพียงพอและครอบคลุมทั่วประเทศ
4. ให้กระทรวงพลังงานประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาและกำหนดนโยบายและมาตรการรองรับการเปลี่ยนผ่านจากรถยนต์สันดาปภายในมาเป็นรถยนต์ไฟฟ้า (EV) เช่น ส่งเสริมตลาดรถ EV มือสอง ผู้ประกอบการซ่อมรถ EV การกำจัดรถหมดอายุ (End of Life Vehicle) การนำชิ้นส่วนกลับมาใช้ใหม่ (Recycle) รวมถึงกำหนดหลักเกณฑ์ค่าเบี้ยประกันรถ EV ให้เหมาะสมและจูงใจให้มีการใช้รถ EV มากขึ้น
5. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก กำหนดนโยบายและมาตรการเพื่อส่งเสริมให้เกิด ‘ห่วงโซ่อุปทาน’ (Supply Chain) ยานยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศอย่างครบวงจร โดยเฉพาะการผลิตชิ้นส่วนสำคัญ (เช่น แบตเตอรี่, ระบบกำลังส่งด้วยไฟฟ้า) เพื่อรองรับการผลิตรถยนต์ EV ในประเทศ และรองรับการเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนสำคัญของภูมิภาค
ลงท้ายเอกสารระบุ ‘ซึ่งคณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้วลงมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ’
หลังเอกชน โดยเฉพาะค่ายรถจีนโหมโรงตลาด EV ในประเทศไทยมาได้พักใหญ่ ในที่สุดรัฐบาลใหม่ ภายใต้การนำของ เศรษฐา ทวีสิน ก็บรรเลงปี่กลองตอบรับกระแสอย่างเป็นทางการผ่านมติ ครม.
เมื่อรัฐบาลซึ่งเป็น ‘เจ้าบ้าน’ เปิดทางขนาดนี้...
กระแส EV ที่กำลังเชี่ยวกรากที่ SPACEBAR เคยคาดการณ์ไว้ใน EV is coming - EP.2| พลังงานไฟฟ้าไทย ‘พอ’ หรือ ‘ขาด’ ถ้า EV โตเกินคาด ว่าภายในสิ้นปีนี้จะมี EV จดทะเบียนใหม่ราว 88,356 คัน และจะมี EV ทะลุล้านคันใน พ.ศ.2571 อาจโตเร็วกว่าที่คิด
ถ้ารัฐบาลทำได้ ‘โดยเร็ว’ ตามความหมาย จะเป็นการเหยียบคันเร่งให้คนเปลี่ยนจาก รถน้ำมัน ไปสู่ รถยนต์ไฟฟ้า โดยไม่ลังเล
