คนทั่วไปที่ไม่ใช่เศรษฐี การถอยรถยนต์สักคน โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle - EV) ต้องคิดหน้าคิดหลังว่า รถที่ซื้อมาจะตอบโจทย์การใช้งานได้ครบครันตามต้องการหรือไม่
ถ้าดูแนวโน้มการเติบโตของ EV ทั่วโลกที่กำลังอยู่ในช่วง Take off ดูเหมือนคนส่วนใหญ่เริ่มมั่นใจก้าวขาไปสู่ยานยนต์แห่งอนาคตมากขึ้น
ปีที่แล้ว (พ.ศ.2565) สัดส่วนรถ EV ที่คนตัดสินใจถอยคันใหม่อยู่ที่ราว 10 ล้านคัน คิดเป็น 14% ของยอดขายรถทั่วโลก
ขณะที่ปีนี้ (พ.ศ.2566) คาดว่า EV จะกินส่วนแบ่งเพิ่มขึ้นเป็น 14 ล้านคัน หรือเพิ่มจากปีก่อน 35%
แม้จะมีการคาดการณ์ถึงคลื่นอนาคต EV ว่าจะมาเร็วกว่าที่คิด (อ่านเพิ่มเติม EV is coming - EP.1 | ยานยนต์ไฟฟ้า คลื่นยักษ์ที่อาจมาเร็วกว่าที่คิด) แต่ดูเหมือนยังมีข้อกังวลใจที่เป็นภูเขาลูกใหญ่ของคนที่คิดจะตัดสินใจ ยังไม่ก้าวขาไปหา EV
ข้อกังวลใจที่ว่าคืออะไร แบบสำรวจความคิดเห็นชาวอเมริกัน หนึ่งในประเทศที่เป็นฐานผลิตและส่งเสริม EV อย่างเป็นล่ำเป็นสัน ที่ก้าวขาไปสู่อนาคตมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก น่าจะพอฉายภาพให้เห็น
เมื่อปี พ.ศ.2565 หน่วยงาน American Automobile Association (AAA) ผู้ให้บริการข้อมูลข่าวสารด้านยานยนต์และการท่องเที่ยว สำรวจความเห็นชาวอเมริกันถึงข้อกังวลใจที่ยังไม่ตัดสินใจซื้อรถ EV พบว่า
- อันดับ 1 - ราคาแพง (เมื่อเทียบกับรถน้ำมันในท้องตลาด)
- อันดับ 2 - ความพร้อมของสถานีชาร์จ ซึ่งเป็นประเด็น Range Anxiety
- ส่วนเหตุผลอื่นๆ รองลงมาล้วนเกี่ยวกับประเด็น Range Anxiety เกือบทั้งหมด
เหตุผลก็เพราะหัวใจของการใช้รถคือเรื่องการเดินทาง ถ้าหากคนยังไม่รู้สึกมั่นใจว่ารถคันใหม่จะตอบโจทย์พื้นฐานได้อย่างที่ควรจะเป็น ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ถ้าคนๆ นั้นจะยังตัดสินใจไม่ซื้อ EV
ทว่าตลาดรถ EV ทั่วโลกกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน และวางอยู่บนฐานของเทคโนโลยีที่วิ่งบนอัตราเร่งสูง ผลสำรวจเมื่อปีก่อนอาจฉายภาพความจริงแค่บางส่วนเมื่อเวลาผ่านไป
วันนี้เรื่อง ‘ราคา’ ที่เคยเป็นปัญหา ดูจะคลี่คลาย เมื่อผู้ผลิตรถจากจีนหลายค่ายส่งรถ EV ราคาต่ำล้าน มีตั้งแต่หลักไม่เกินครึ่งล้าน และไม่ถึงล้านในหลายช่วงราคา เป็นตัวเลือกยั่วใจให้คนกล้าแหย่ขาไปสู่อนาคตมากขึ้น
ข้อมูลยอดการผลิต EV ทั่วโลกระหว่าง พ.ศ.2564-2565 ที่รถ EV จากค่ายจีนหลายค่ายโตระเบิดเกินเท่าตัว คือหลักฐานชั้นดีที่บอกว่า กำแพงราคากำลังถูกทุบทำลาย
ข้อมูลล่าสุดที่สรุปยอดการผลิต EV ทั่วโลก ช่วงไตรมาส 1 และ 2 หรือครึ่งปีแรกของ พ.ศ.2566 ดูจะตอกย้ำความจริงนี้ เมื่อค่ายจีนขึ้นมาติด Top 5 ถึง 3 เจ้า ได้แก่ BYD, Geely-Volvo, SAIC จากก่อนหน้านี้ที่มีแค่ BYD Group
Top 5 ยอดการผลิต EV (BEV และ PHEV) ไตรมาสที่ 1-2 พ.ศ.2566
- BYD Group: 1,248,168 คัน, 21.4%
- Tesla: 888,879 คัน, 15.2%
- Volkswagen Group: 425,761 คัน, 7.3%
- Geely-Volvo: 359,543 คัน, 6.2%
- SAIC (รวม SAIC-GM-Wuling): 322,921 คัน, 5.5%
สำหรับประเทศไทยก็มีแนวโน้มในทางเดียวกัน หลังค่าย BYD, NETA และ MG เข้ามาทำตลาด EV เมื่อปีที่แล้ว (พ.ศ.2565) ยอดจดทะเบียนรถจากค่ายจีนก็พุ่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ข้อมูลยอดขายและการผลิตรถ EV ในช่วงปีสองปีที่ผ่านมา ชี้ให้เห็นแล้วว่า ผลสำรวจชาวอเมริกันเมื่อต้น พ.ศ.2565 เหลือข้อกังวลใจที่เป็นประเด็นเพียงเรื่องเดียว คือ Range Anxiety ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด
สถานีชาร์จเวลานี้พร้อมแค่ไหน ถ้าออกเดินทางไกล แบตเตอรี่จะหมดกลางคันหรือเปล่า ดูจะเป็นข้อกังวลใจที่ทำให้คนทั่วไปยังไม่ถอย EV โดยเฉพาะ EV ที่ใช้แบตเตอรี่ไฟฟ้า 100%
ส่วนคนที่ถอย EV ส่วนใหญ่ตอนนี้ มักจะมีรถน้ำมันสำรองใช้อยู่แล้ว แล้วถอย EV เป็นรถอีกคัน อย่างน้อยก็ช่วยประหยัดค่าน้ำมันในวันที่ราคาน้ำมันทารุณเงินในกระเป๋ามากขึ้นทุกที
คำถามคือ เมื่อไหร่ปัญหา Range Anxiety จะคลี่คลาย เช่นเดียวกับเรื่องราคาที่เคยเป็นอุปสรรค ต้องบอกว่าเรื่องนี้อาจไม่ได้แก้ไขโดยง่าย และต้องใช้เวลา
โดยเฉพาะ ‘สถานีชาร์จ’ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่จะพาข้ามภูเขาแห่งความกังวลนี้ไปได้
