ขัดแย้งปมร้อนชายแดนไทย-กัมพูชา ... ภายใต้ลัทธิคลั่งชาติเพื่อรับใช้ความมั่นคงทางการเมือง

9 มิ.ย. 2568 - 11:13

  • ข้อพิพาทชายแดน จุดเดือดใหม่ในพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต – ช่องบก

  • ฮุนมาแณต สืบอำนาจฮุนเซ็น คลื่นใต้น้ำยังคงเดือด

  • “ลัทธิคลั่งชาติ” ในกัมพูชา กับการใช้พื้นที่พิพาทเป็นเครื่องมือการเมือง

ขัดแย้งปมร้อนชายแดนไทย-กัมพูชา ...  ภายใต้ลัทธิคลั่งชาติเพื่อรับใช้ความมั่นคงทางการเมือง

ประเทศกัมพูชาหรือเขมรซึ่งคนไทยเหมารวมถึง “ขอม” ซึ่งกัมพูชาไม่มีคำนี้มีแต่ “ขแมร์” (Khmer) มีพื้นที่ประมาณ 181,035 ตารางกิโลเมตร สัดส่วนร้อยละ 35 ของพื้นที่ประเทศไทย ประชากรประมาณ 18.118 ล้านคน ขนาดเศรษฐกิจ (IMF : 2025) มูลค่า 51,159 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นลำดับที่ 101 ของโลกเทียบกับประเทศไทย 545,341 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นลำดับที่ 30 ของโลก รายได้ต่อหัวต่อปี 2,823.6 USD/Per Capita (เทียบกับไทย 8,271.2 USD) เมืองสำคัญ เช่น (1) พนมเปญ เป็นเมืองหลวงและเมืองเศรษฐิจใหญ่สุดของประเทศ (2) เมืองสีหนุ เป็นพื้นที่เศรษฐกิจและการลงทุนและเป็นที่ตั้งของท่าเรือ



สีหนุวิลล์ นอกจากนี้ยังเป็นที่ตั้งของท่าเรือเรียมซึ่งเป็นฐานทัพเรือของจีน (3) เมืองเสียมเรียบ เป็นที่ตั้งของนครวัดและนครธมแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ (4) เมืองเกาะกง อยู่ติดกับด่านคลองเล็ก จ.ตราด มีการพัฒนาท่าเรือและพื้นที่เศรษฐกิจใหม่


สถานการณ์ความขัดแย้งชายแดนไทย – กัมพูชาที่กำลังเติมเชื้อก่อตัวขึ้นอยู่ในขณะนี้ไม่ใช่ครั้งแรกและในอนาคตคงมีอีกหลายครั้ง เนื่องจากภูมิหลังและการรับรู้ของประชาชนกัมพูชาส่วนหนึ่งซึ่งคงเป็นส่วนใหญ่ยังไม่หลุดจากกับดักของอดีต ปัจจัยสำคัญคือพรมแดนทั้งสองประเทศระยะทางยาวประมาณ 798 – 817 กม. ตั้งแต่อำเภอคลองเล็ก จ.ตราด-จันทบุรี-สระแก้ว-บุรีรัมย์-สุรินทร์-ศรีสะเกษและอุบลราชธานี การแบ่งอาณาเขตไทย-กัมพูชาส่วนใหญ่ตามสนธิสัญญาสยาม-ฟรังโกหลายฉบับ เช่น ข้อตกลง พ.ศ. 2436 (ร.ศ.112) ความไม่ชัดเจนของการใช้แผนที่ทำให้พื้นที่ชายแดนบางส่วนมีความทับซ้อนพื้นที่ทางทะเล เช่น เกาะกูดซึ่งมีแหล่งแก๊สธรรมชาติทั้งที่เส้นเขตแดนทางทะเลตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ร.ศ. 125 (พ.ศ. 2450) ระบุว่าเมืองด่านซ้าย (จ.เลย), เมืองตราดและเกาะทั้งหลายใต้แหลมสิงห์ลงมาจนถึงเกาะกูดเป็นของไทย


สำหรับพื้นที่พิพาทอยู่ในปัจจุบันที่ช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี แบ่งเขตแดนโดยใช้สันปันน้ำของเทือกเขาพนมดงรักเป็นอีกพื้นที่หนึ่งซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างอ้างสิทธิเป็นเจ้าของตกลงกันยังไม่ชัดเจน กรณีความขัดแย้งครั้งนี้ทางกัมพูชาต้องการใช้กลไกศาลโลกแต่ไทยประกาศไม่ยอมรับเขตอำนาจของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) มาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2503 ท่าทีของกัมพูชาต้องการนำเรื่อง 4 ปราสาทเข้ามาพิจารณา คือ ปราสาทตาเมือนธม ตาเมือนโต๊ด ตาควายและพื้นที่สามเหลือมมรกต ช่วงต้นมิถุนายน 2568 ความขัดแย้งเกือบยกระดับไปสู่ทางทหารแต่ท้ายสุดทางกัมพูชาเลือกที่จะ “ถอย” การอ้างสิทธิพื้นที่ของกัมพูชาในอนาคตคงไม่จบง่ายๆ เนื่องจากการใช้ลัทธิคลั่งชาติเป็นเครื่องมือรับใช้ระบอบฮุนเซนเกี่ยวข้องกับมิติต่างๆ ของกัมพูชาที่มีต่อไทย


มิติด้านการเมือง การเห็นฉากทัศน์การเมืองการปกครองของกัมพูชาซึ่งเป็นรากเหง้าของปัญหาความขัดแย้งเส้นแบ่งเขตแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน ประเทศกัมพูชาปกครองระบอบประชาธิปไตยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขคือสมเด็จพระบรมนาถ นโรดม สีหมุนี (ต.ค. 2547) รัฐสภาของกัมพูชาทั้งสภาล่างและวุฒิสภาอยู่ภายใต้บารมีของ 'จอมพล สมเด็จอัครมหาเสนาบดี เดโช ฮุนเซ็น' อดีตเป็นลูกชาวนาช่วงสงครามเย็นเขาเคยเป็นทหารสมัยเขมรแดง ต่อมาเวียดนามเข้ามายึดเขมรและตั้งรัฐบาลโดยฮุนเซ็นเข้าร่วมและได้ตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ ภายหลังได้เป็นหัวหน้าพรรคประชาชนกัมพูชา (CCP : Cambodian People Party) และต่อมาได้เป็นนายกรัฐมนตรียาวนานที่สุดของเอเชียตั้งแต่พ.ศ. 2528 ร่วมสมัยกับพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ จนถึงพ.ศ. 2566 ได้โอนถ่ายอำนาจให้ลูกชายคือ 'ฮุน มาแณต' หรือ 'พลเอก สมเด็จมหาบวรธิบดี ฮุน มาแณต' เขาจบจากวิทยาลัยทหาร West Point (USA) และปริญญาเอกจาก University of Bristol (อังกฤษ) เคยเป็นผบ.ทบ. และรอง ผบ.สส.


กัมพูชาในช่วงเวลาเดียวกันมีการผลัดใบคนรุ่นใหม่นำทายาทของนายพลและรัฐมนตรีคนใกล้ชิดฮุนเซ็นเข้ามาสืบอำนาจรับตำแหน่งสำคัญ ที่ผ่านมาการเมืองของกัมพูชาปลุกระดมชาตินิยมเพื่อรับใช้การคงอยู่ของระบบฮุนเซ็นซึ่งอยู่ยาวนานมากว่า 4 ทศวรรษ นโยบายของระบบฮุนเซ็นคืออนุรักษ์นิยมความยิ่งใหญ่ในอดีตติดดับดักประวัติศาสตร์ เห็นได้จากชื่อตำแหน่งสำคัญย้อนยุคกลับไปถึงศตวรรษที่ 18 สมัยก่อนอาณานิยม การปลูกฝังชาตินิยมแบบ “ลัทธิคลั่งชาติ” มีการดำเนินการอย่างเป็นระบบตั้งแต่ในตำราเรียนและการสอนของนักเรียนไปจนถึงสื่อต่างๆ โดยเฉพาะโซเชียลมีเดีย หากรัฐบาลมีความอ่อนไหวทางการเมืองหรือปัญหาเศรษฐกิจขาลงอย่างที่อยู่ในปัจุบันจะปลุกกระแสคลั่งชาติอ้างสิทธิพื้นที่ชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน ประเทศไทยในยุคสยามเป็นบาดแผลทางประวัติศาสตร์ทำให้ง่ายในการจุดชนวนเพราะติดไฟได้ง่าย


สำหรับพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชาที่เป็นข้อขัดแย้งที่เป็นข่าวอยู่ในขณะนี้เป็นไปตามอนุสัญญาปีพ.ศ. 2447 และอนุสัญญาปีพ.ศ. 2449 เริ่มจากสามเหลี่ยมมรกตโดยใช้เส้นสันเขาปันน้ำของเทือกเขาพนมดงรักมีความยาวประมาณ 364 กิโลเมตรตั้งแต่จังหวัดอุบลราชธานีตรงข้ามกับจ.เขาพระวิหาร จ.ศรีสะเกษ-สุรินทร์ตรงข้ามจ.อุดรมีชัยและจ.บุรีรัมย์ตรงข้ามจ.บันทายมีชัยและด่านอรัญประเทศ-ปอยเปต ทั้งนี้ไทย-กัมพูชามีพื้นที่พรมแดน 798 – 817 กิโลเมตรยาวที่สุดเมื่อเทียบกับลาวและเวียดนามเป็นไปตามสนธิสัญญากับฝรั่งเศสหลายฉบับ


ภายใต้บริบทการเมืองปลูกฝังลิทธิคลั่งชาติเพื่อรับใช้ความคงอยู่ของระบบฮุนเซ็นส่งผลทำให้เกิดปัญหาความขัดแย้งกับไทยมาตั้งแต่ในอดีต-ปัจจุบันและอนาคต เกี่ยวข้องกับความมีเสถียรภาพของรัฐบาลไทยและมาตรการเชิงรุกในการสร้างข้อมูลเชิงกลยุทธ์ (IO : Information Operation) ทั้งในระดับอาเซียน นานาชาติและยูเอ็นแสดงให้เห็นว่าพื้นที่พรมแดนเหล่านั้นมีความชัดเจนว่าเป็นของไทยไม่ใช่ให้กัมพูชาใช้สงคราม 'IO War' อยู่ฝ่ายเดียว การอ้างสิทธิพื้นที่ชายแดนของกัมพูชาภายใต้ลิทธิคลั่งชาติเพื่อใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองคงเป็นหนังซีรีย์ยาวไม่จบง่ายๆ ...

-----

บทความพิเศษ:

ดร.ธนิต  โสรัตน์ อดีตประธานสภาธุรกิจประเทศลุ่มแม่น้ำโขง (GMS) ของกกร.และภูมิภาค (6 ประเทศ)

 

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์