หอการค้าฯ เสนอรัฐคุมดอกเบี้ย ช่วย SMEs ไทย

9 ม.ค. 2567 - 10:02

  • ‘สนั่น’ ถอดปัจจัยเศรษฐกิจโต ก่อนเสนอรัฐ ขอคุมดอกเบี้ย ช่วยเอสเอ็มอี

  • เตรียมยกระดับ Event สงกรานต์ให้เป็น Festival ระดับโลก ส่งเสริม Soft power ไทยทั้งปี

thaichamber-interest-sme-festival-soft-power-SPACEBAR-Hero.jpg

หอการค้าไทยฯ ถอดประเด็น ท่องเที่ยว-นโยบายการคลัง กระตุ้นเศรษฐกิจโต
- บรรยากาศท่องเที่ยวคึกคัก Event หัวเมืองใหญ่ทั่วประเทศ ได้รับการตอบรับดี ทำให้คาดทั้งปี 2566 จะมียอดนักท่องเที่ยวใกล้เคียง 28 ล้านคน
- ยกเลิกวีซ่าระหว่างไทย-จีน ทำให้เชื่อ จะเป็นโมเมนตั้มสำคัญต่อเนื่องถึง Q1/67 ที่เป็นช่วง High Season ของไทย ดันท่องเที่ยว-บริการเติบโตโดดเด่น
- นโยบายการคลังกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านโครงการ Easy E-Receipt ช่วยเกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบ 4-6 หมื่นล้าน
- โครงการ Digital Wallet หากดำเนินการได้ตามแผน ยังมีส่วนกระตุ้นเศรษฐกิจได้อีก 1.0-1.5%

ปัจจัยทั้งหมดนี้ ทำให้ สนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย มองแนวโน้ม เศรษฐกิจไทยใน Q1/67 ว่าจะสามารถเติบโตได้อย่างน้อย 3% เมื่อเทียบกับ Q1/66 ที่อยู่ในระดับ 2.7% ส่วน Q2/67 เป็นช่วงเทศกาลขึ้นปีใหม่ไทย และกิจกรรมสงกรานต์ที่พึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกโลกทางภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ในปีที่ผ่านมา

ดังนั้น รัฐบาลและหอการค้าฯ จะใช้โอกาสนี้ ยกระดับ Event สงกรานต์ให้เป็น Festival ระดับโลก รวมถึงกิจกรรมด้านการส่งเสริม Soft power ไทยตลอดทั้งปี ซึ่งจะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้ไปสู่เป้าหมาย 35 ล้านคนต่อไป 

ส่งซิก ลดดอกเบี้ย ช่วยเร่ง SMEs-ศก.ไทย โตเร็วขึ้น

นายสนั่น ชี้ สถานการณ์เงินเฟ้อที่ติดลบต่อเนื่องในปัจจุบัน ทำให้มีกระแสพูดถึงเกี่ยวกับการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งมุมมองวิชาการถือเป็นความพยายามของ ธปท.ในการสกัดเงินเฟ้อที่สูง ตลอดจนรักษาเสถียรภาพของค่าเงินบาทที่อ่อนค่ามากในช่วงปีที่แล้ว รวมทั้งเป็นการลดช่องว่างของอัตราดอกเบี้ยระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ไม่ให้ห่างกันมากจนเกินไป ซึ่งต้องยอมรับว่าส่งผลกระทบโดยตรงกับต้นทุนกู้ยืมของผู้ประกอบการและประชาชน

ทั้งนี้ หลายฝ่ายยังคงติดตามสัญญาณของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงใด และหวังว่า ธปท. จะไม่มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยแล้ว ส่วนกรณีที่ Fed มีการปรับลดดอกเบี้ยลงหลังจากนี้ ธปท. คงจะมีการปรับลดดอกเบี้ยให้เหมาะสมกับสถานการณ์ของเศรษฐกิจไทยต่อไป

สำหรับตัวเลขเงินเฟ้อทั่วไปที่ติดลบต่อเนื่อง 3 เดือน น่าจะมาจากการปรับลดเชิงเทคนิค ตามนโยบายการลดภาระค่าของชีพด้านพลังงานของภาครัฐทั้งค่ากระแสไฟฟ้าและราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ประกอบกับราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวลดลง แต่ในส่วนของอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังมีการปรับขึ้นเล็กน้อย แสดงให้เห็นว่าไทยยังคงพอมีกำลังซื้ออยู่บ้าง โดยเงินเฟ้อทั่วไปปี 2566 อยู่ที่ 1.23% 

ขณะที่นโยบายการคลังที่รัฐบาลกำลังดำเนินการทั้ง การยกเว้นวีซ่าเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว, โครงการ Easy E-Receipt, รวมถึงการผลักดันโครงการ Digital Wallet จะมีส่วนช่วยกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปปีนี้น่าจะเพิ่มขึ้นถึงระดับ 2.0 - 2.5% ภายใต้กรอบเป้าหมายของกระทรวงการคลัง และ ธปท. ที่ 1 – 3% 

อย่างไรก็ตาม ในมุมของหอการค้าฯ ยังเห็นว่า หากธนาคารสามารถปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงจะช่วยลดภาระประชาชน ลดต้นทุนผู้ประกอบการ และส่งเสริมให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้สะดวก จะเป็นส่วนสำคัญในการเร่งให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้รวดเร็วยิ่งขึ้น โดยในวันพุธ (10 ม.ค.) กกร. คงจะมีการหารือ. ในประเด็นดังกล่าวร่วมกันต่อไป

คาดส่งออกไทยโต มีโอกาสขยายตลาดใหม่

สำหรับการส่งออก หอการค้าฯ คาดว่าจะเติบโตขึ้นจากปีที่แล้ว แม้ว่าสถานการณ์ต่างประเทศทั้ง Geopolitics ความขัดแย้งและสงครามระหว่างประเทศที่ยังไม่มีข้อสรุป แต่สินค้าส่งออกหลายประเภทของไทยยังมีโอกาสขยายตลาดได้ เช่น อาหารและผลไม้ ชิ้นส่วนยานยนต์ ยางพารา มันสำปะหลัง เครื่องใช้ไฟฟ้า และเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ จากความต้องการของประเทศคู่ค้าที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการรุกตลาดใหม่ ๆ อย่างตะวันออกกลาง อินเดีย และแอฟริกา ที่เป็นตลาดมีศักยภาพสูง ส่วนการลงทุนจากต่างประเทศ คาดว่าในปีนี้จะมีเข้ามาเพิ่มเป็นจำนวนมาก จากการทำงานเชิงรุกของรัฐบาลในการดึงดูดการลงทุนตรงจากต่างประเทศทั้งด้าน EV พลังงานสะอาด ตลอดจนอุตสาหกรรมที่ใช้นวัตกรรมขั้นสูง 

โดยการเร่งเจรจา FTA กับหลายประเทศที่ยังอยู่ในกระบวนการหากแล้วเสร็จจะยิ่งสนับสนุนให้ไทยเป็นศูนย์กลางการลงทุนในภูมิภาคในอนาคต หอการค้าไทยและมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย จึงประเมินเศรษฐกิจไทยปี 2567 ว่า GDP น่าจะขยายตัวได้ 3.2% (ยังไม่รวมผลของโครงการดิจิทัลวอลเล็ต) การส่งออกพลิกกลับมาโตได้ที่ 2 - 3% อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเพิ่มสูงขึ้นอยู่ในระดับ 2% และหนี้ครัวเรือนลดลงมาอยู่ที่ 87.8% ต่อ GDP

เสนอรัฐใช้งบฯ อย่างเหมาะสม กระจายลงพื้นที่ กระตุ้น ศก.

ประเด็นการเสนอร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 67 ที่ผ่านการเห็นชอบจากสภาวาระ 1 แล้ว ภาคเอกชนเห็นว่า มีส่วนสำคัญต่อการสร้างความเชื่อมั่นของประเทศอย่างมาก ส่วนในระหว่างการรองบประมาณ ปี 67 ที่คาดว่าเริ่มใช้ในเดือนพฤษภาคม หอการค้าฯ อยากให้รัฐบาลหารือกับรัฐวิสาหกิจและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการนำงบประมาณลงทุนที่แต่ละหน่วยงานมีอยู่แล้วเร่งใช้งานไปพลางก่อน ตลอดจนเสนอให้รัฐบาลเร่งจัดทำมาตรการเสริมกระตุ้นเศรษฐกิจโดยไม่ต้องใช้งบประมาณเพื่อให้เศรษฐกิจเดินหน้าต่อเนื่อง ทั้งนี้ หากงบประมาณประจำปีฯ ประกาศใช้เป็นทางการ รัฐบาลอาจมีเวลาเพียง 5 เดือนเศษในการใช้จ่ายงบประมาณ หอการค้าฯ จึงหวังว่ารัฐบาลจะมีแผนเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามแผนอย่างรวดเร็ว เพื่อให้เม็ดเงินกระจายลงสู่แต่ละพื้นที่และเกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างเหมาะสม

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์