คนไทยว่างงานน้อยที่สุดในโลก มันควรจะภูมิใจหรือว่าเป็นหายนะซ่อนรูป?

22 มี.ค. 2566 - 08:30

  • รู้หรือไม่ว่าประเทศไทยมีอัตราว่างงานน้อยที่สุดในโลกติดต่อกันหลายปี

  • แต่เบื้องหลังของ ‘ความสำเร็จ’ นี้อาจกลายเป็นความ ‘ล้มละลาย’ ในอนาคต

The-problem-of-thai-status-as-the-world-least-unemployed-economy-SPACEBAR-Thumbnail
ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราว่างงานต่ำที่สุดในโลกมาหลายปี ตัวเลขทางการที่ยังไม่ได้อัปเดตของธนาคารโลก (World Bank) ของปี 2021 ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่อัตราว่างงานต่ำที่สุด อยู่ที่ 1.4% รองจาก  
  1. กาตาร์ 0.3%  
  2. กัมพูชา 0.6%  
  3. ไนเจอร์ 0.8%  
  4. หมู่เกาะโซโลมอน1.0%  
  5. สปป. ลาว 1.3%  
  6. ไทย 1.4% 
จากการคาดการณ์อัตราการว่างงานปี 2022 โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) พบว่าอัตราว่างงานทั่วโลก คำนวณจาก100 ประเทศอยู่ที่ 7.11% ประเทศที่มีตัวเลขว่างงานสูงสุด คือ แอฟริกาใต้ที่ 34.63% และอัตราว่างงานต่ำสุด คือ ประเทศไทย คือ 1%   

จากการคาดการณ์ขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ตัวเลขยิ่งน้อยเข้าไปอีก เพราะคาดการณ์ว่าประเทศไทยจะมีคนว่างงานแค่ 0.99% ขณะที่แอฟริกาใต้ยังคงเป็นประเทศที่ว่างงานหนักที่สุดในโลก คือ 28.77% ข้อมูลนี้อัปเดตเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2023 

สิ่งที่ดาต้าไม่ได้บอกกับเรา 

จากตัวเลขของธนาคารโลกเราจะเห็นว่าประเทศที่อัตราว่างงานต่ำสุด (ปี 2022) คือกาตาร์ ซึ่งถือเป็นประเทศรายได้สูง และเป็นหนึ่งในประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ต่างจากประเทศร่ำรวยอื่นๆ ที่อัตราว่างงานค่อนข้างสูง แต่กรณีของการ์ตาอาจจะต้องพิจารณาด้วยว่า เป็นประเทศขนาดเล็กมากและมีประชากรน้อย และยังมีรายได้จากน้ำมัน 

และเมื่อไล่อันดับลงมาถึงที่ 9 เกือบทั้งหมดเป็นประเทศรายได้ต่ำ ยกเว้นประเทศไทยที่มีรายได้ปานกลางค่อนข้างสูงเท่านั้นที่อัตราว่างงานต่ำมาก ซึ่งเรื่องนี้น่าสนใจมากว่าทำไมไทยถึงกลายเป็นกรณีเฉพาะเอามากๆ  

นั่นก็เพราะตัวเลขผู้มีงานทำในไทยจะนับผู้ที่ประกอบอาชีพในกลุ่ม Shadow economy หรือ ‘เศรษฐกิจนอกระบบ’ เข้าไปด้วย ซึ่งเป็นอาณาบริเวณของเศรษฐกิจที่ไม่มีการจดทะเบียนหรือเสียภาษีเป็นทางการ เช่น ผู้ค้าอาหารริมทาง หรือในเวลานี้อาจจะเหมารวมการค้าออนไลน์เข้าไปด้วยก็ได้  

ขนาดเศรษฐกิจนอกระบบของไทยคาดว่าจะอยู่ที่ 46.2% ซึ่งคิดเป็นมูลค่าประมาณ 854,000 ล้านดอลลาร์ (1) ซึ่งถือว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก แต่โปรดสังเกตว่าประเทศที่มี Shadow economy ใหญ่มากๆ ล้วนแต่เป็นประเทศยากจนหรือด้อยพัฒนา (2) มีแค่ไทยเท่านั้นที่ติดอันดับ โดยที่ไทยเองอยู่ในสถานะรายได้ปานกลางค่อนข้างสูง ซึ่งเรื่องนี้น่าจะสะท้อนปัญหาอะไรบางอย่าง 
  1. อัฟกานิสถาน (72.0%)
  2. ซิมบาบเว (64.1%)
  3. ไนจีเรีย (57.7%)
  4. เฮติ (55.1%)
  5. โบลิเวีย (54.8%)
  6. นิคารากัว (52.5%)
  7. ปานามา (51.6%)
  8. กาบอง  (51.6%)
  9. เมียนมา (49.0%)
  10. เบนิน (48.8%)
  11. กัวเตมาลา (48.6%)
  12. สป. คองโก (48.3%)
  13. แทนซาเนีย (46.7%)
  14. ปารากวัย (46.5%)
  15. ไทย (46.2%)
มูลค่าขนาดนี้มันสามารถแปรรูปเป็นภาษีได้มหาศาล แต่รัฐก็พยายามอย่างยากลำบากที่จะทำแบบนั้น เช่น มีกระแสข่าวว่าร้านค้าบางร้าน (ที่คาดว่าอยู่ในระบบ Shadow economy) ไม่อยากจะเข้าร่วมโครงการ ‘คนละครึ่ง’ เพราะไม่อยากเสียภาษี หรือถูกจับได้ว่าละเลยการภาษีมานาน  

เป็นเรื่องที่ยอกย้อนอย่างหนึ่ง เพราะในขณะที่ทางการไทยแทบจะล้มเหลวในการนำ Shadow economy เข้าระบบ ทางการไทยกลับนับเอายอดคนทำงานในระบบเศรษฐกิจแบบนี้เข้าไปด้วย แต่ในขณะที่เหมารวมตัวเลขคนมีงานเข้าไปได้ แต่กลับไม่จัดเก็บภาษีของคนใน Shadow economy เข้าไป  

ผลก็คือ ไทยมีผู้เสียภาษีรายได้บุคคลเพียง 4.17 ล้านคน ขณะที่ยอดคนทำงานที่มีรายได้มีหลายสิบล้านคน รายได้จากการจัดเก็บภาษีเพื่อพัฒนาประเทศจึงไม่สมกับความเป็นจริง (ที่มีคนมีงานทำเกือบจะทุกคนในประเทศ) สิ่งที่ตามมาคือ คนเสียภาษีแค่ 4 ล้านกว่าคน กลายเป็น ‘นางแบก’ ที่ต้องปันรายได้ของตัวเองในรูปของภาษีมาเลี้ยงคนทั้งประเทศ 

ในช่วงแรกๆ ที่สื่อต่างประเทศรายงานความเฉพาะของเศรษฐกิจไทยที่มีอัตราว่างงานต่ำที่สุดในโลก และมีขนาด Shadow economy ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในโลก คนไทยบางคนรู้สึกว่า Shadow economy มีข้อดีในแง่ที่ช่วยทำให้คนไทยมีงานทำถ้วนหน้า  

และเชื่อกันว่าเพราะความไม่เป็นทางการของทัน มันจึงมีสถานะเหมือน ‘ฟูก’ ที่คอยรัองรับเศรษฐกิจในระบบเวลาเกิดวิกฤตขึ้นมา (เช่น คนตกงานจากเศรษฐกิจในระบบ จะสามารถหางานทำในเศรษฐกิจนอกระบบได้ไม่ยากนัก อย่างการขายอาหารริมทาง)  

แต่เพราะ Shadow economy ทำให้การเก็บภาษีไม่มีประสิทธิภาพ ผลที่จะตามมาคือ ในอนาคต ไทยจะสร้างระบบสวัสดิการไม่ได้ เพราะคนเสียภาษีเงินได้มีน้อยเกินไป และคนที่เสียภาษีส่วนนี้แทนที่จะได้รับสวัสดิการ กลับต้องถูกนำผลประโยชน์ของชาติในรูปของภาษีไปเกลี่ยให้กับคนที่ทำงานนอกระบบ  

ว่างงานเยอะ แต่ถ้าประเทศรวยก็รอด 

เราจะเห็นว่าประเทศที่มีการจัดเก็บภาษีที่มีประสิทธิภาพ หรือประเทศร่ำรวย/พัฒนาแล้ว มีอัตราว่างงงานสูง แต่อย่าลืมว่าคนว่างงานของประเทศเหล่านี้มีสวัสดิการรองรับสูง อันเป็นผลมาจากการจัดเก๋บภาษีที่มีประสิทธิภาพและอัตราเก็บสูงมาก เช่น  
  1. สวีเดน: ว่างงาน 7.64% (อันที่ 31 ของโลก) สวัสดิการว่างงาน 1,700 บาท ต่อวัน (3)(4) 
  2. ฝรั่งเศส: ว่างงาน 7.45 (อันที่ 34 ของโลก) สวัสดิการว่างงาน 3,246 บาท ต่อวัน (5) 
  3. ฟินแลนด์: ว่างงาน 7.05% (อันที่ 40 ของโลก) สวัสดิการว่างงาน 1,370 บาท ต่อวัน (6) 
  4. อังกฤษ: ว่างงาน 3.83% (อันที่ 79 ของโลก) สวัสดิการว่างงาน 3,243 บาท ต่อวัน (7) 
  5. สหรัฐฯ: ว่างงาน 3.67% (อันที่ 80 ของโลก) สวัสดิการว่างงาน 1,745 บาท ต่อวัน (8) 
เมื่อหันกลับมามองที่ไทย เรื่องนี้จะเป็นปัญหาชัดขึ้นเรื่อยๆ เมื่อไทยก้าวสู่สถานะสังคมผู้สูงวัย ซึ่งต้องใช้เงินเพื่อสวัสดิการสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่คนทำงานเสียภาษีน้อยลงไปเรื่อยๆ ดังนั้น อัตราว่างงานที่น้อยมากของไทยอาจจะดูน่าชื่นชมยินดีในตอนนี้ แต่หากในภายภาคหน้ามันจะกลายร่างเป็นปัญหาอีกรูปแบบหนึ่งที่จะฉุดรั้งประเทศให้ก้าวหน้าไปไม่ได้  

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์