‘ภาษีทรัมป์’ กระทบเกษตรกร สวนยาง-ปาล์ม เดือดร้อน

นโยบายกำแพงภาษี ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ผู้นำสหรัฐฯ ที่ประกาศปรับขึ้นภาษีนำเข้าในอัตรา 10% กับทุกประเทศที่สหรัฐฯ มีการนำเข้าสินค้า รวมถึงไทยที่ล่าสุดจะถูกเก็บภาษีที่ 37% ในทุกสินค้า มีผลตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน 2568 ทีผ่านมา ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรชาวสวนยาง-สวนปาล์ม ของไทย หลังผู้ส่งออกยางพารากดราคารับซื้อน้ำยางสดและยางแผ่นดิบวันเดียวกิโลกรัมละ 10 บาทโดยไม่แจงเหตุผล โรงงานสกัดน้ำมันสวนปาล์มดิบกดราคารับซื้อ หน้าโรงงานกิโลกรัมละ 3 บาท ชาวสวนเดือดร้อนหนัก ต้องออกมาเคลื่อนไหวทำหนังสือถึงรัฐบาลผ่านผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง

วันที่ 21 เมษายน 2568 ชาวสวนยางและเครือข่ายสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางจังหวัดตรัง นำโดย วิรัตน์ อันตรัตน์ ประธานคณะกรรมการเครือข่ายสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางจังหวัดตรัง เดินทางเข้ายื่นหนังสือถึงรัฐบาลผ่านทางผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง เพื่อเรียกร้องขอความเป็นธรรมหลังผู้ส่งออกยางกดราคารับซื้อไม่เป็นธรรมวันเดียว 10 บาทต่อกิโลกรัม ทำชาวสวนยางเดือดร้อนหนัก 

โดยยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมต่อ พ.จ.ท.อนันต์ บุญสำราญ รองผู้ว่าฯ ตรัง เพื่อส่งไปยังรัฐบาล รายละเอียดในหนังสือดังกล่าวระบุว่า “พ่อค้าคนกลาง หรือผู้ส่งออกยางพาราไปยังต่างประเทศ กดราคารับซื้อในวันที่ 8 เมษายน 2568 วันเดียว 10 บาทต่อกิโลกรัม เหตุการรณ์ราคายางลงวันเดียว 10 บาทต่อกิโลกรัมไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ไม่เป็นไปตามกลไกตลาด ผิดปกติ 

ก่อนวันที่ 8 เมษายน ราคาน้ำยางสด กิโลกรัมละ 63 บาท ราคายางแผ่นดิบชั้น 3 กิโลกรัมละ 68บาท แต่ ณ วันนี้ราคาน้ำยางสดกิโลกรัมละ 53 บาท ราคายางแผ่นดิบชั้น 3 กิโลกรัมละ 57 บาท ราคายางขนาดนี้เกษตรกร   รายรับไม่พอรายจ่าย ต่างได้รับความเดือดร้อนถ้วนหน้า จึงต้องมายื่นหนังสือในวันนี้” 

พ.จ.ท.อนันต์ บุญสำราญ รองผู้ว่าฯตรัง กล่าวภายหลังรับหนังสือว่า รับทราบปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกรชาวสวนยางแล้ว  ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นตัวแทนของทุกกระทรวง ทุกหน่วยงานระดับภูมิภาค เมื่อรับหนังสือแล้วจะเร่งรายงานปัญหาให้รัฐบาลและกระทรวงที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องรับทราบโดยเร็ว เพื่อรับบบาลจะหาแนวทางแก้ปัญหาต่อไป

วิรัตน์ อันตรัตน์ ประธานคณะกรรมการเครือข่ายสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางจังหวัดตรัง กล่าวว่า วัตถุประสงค์ของชาวสวนยางและสถาบันฯ มายื่นหนังสือผ่านผู้ว่าราชการจังหวัด เพื่อส่งหนังสือไปยังรัฐบาลเพื่อให้แก้ปัญหาราคายางกต่ำไม่เป็นธรรมในครั้งนี้ต่อไป

“ตามหนังสือที่ยื่นไปนั้นรอคำตอบจากชาวรัฐบาลภายใน 15 วัน ข้อเรียกร้อง 9 ข้อ วันนี้ราคาน้ำยางสดกระเตื้องขึ้นกิโลกรัมละ 1 บาท ราคาอยู่ที่ 53 บาทต่อกิโลกรัม ในเรื่องนี้ หน่วยงานของรัฐคือ “คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ” มีหน้าที่ตามกฎหมายในการกำหนดราคาสินค้าขึ้นลงอยู่แล้ว จะต้องเข้าไปกำกับดูแลบังคับใช้กฎหมายอย่างใกล้ชิด”

“ที่ผ่านมาหน่วยงานที่มีหน้าที่ตามกฎหมายไม่ได้ทำหน้าที่ ดังนั้นเครือข่ายสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางจังหวัดตรัง จึงมาเรียกร้องส่งหนังสือไปถึงรัฐบาลเพื่อแก้ปัญหาต่อไป สหรัฐอเมริกาผ่อนคลายกำแพงภาษี ทำไมผู้ส่งออกยางพาราจึงกดราคารับซื้อเช่นนี้ ไทยส่งออกยางไปอเมริกาประมาณ 2 แสนตันต่อปี ส่งไปจีนประมาณ 2ล้านตันต่อปี อยากฟังคำตอบจากรัฐบาล และผู้ส่งออกยางพารา”

ด้านชาวสวนปาล์มก็ได้รับความเดือดร้อนผลผลิตล้นตลาด โรงงานกดราคาปาล์มดิ่งเหลือกิโลกรัมละ 4 บาทเศษ รถบรรทุกต้องจอดรอคิวเทปาล์มถึง 2 วัน 2 คืน ชาวสวนเตรียมเคลื่อนไหวเรียกร้องราคาปาล์มที่ตกต่ำ

โดยเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2568 ราคารับซื้อปาล์มหน้าโรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม ล้นลาน รถบรรทุกพ่วง 18 ล้อและรถ 22 ล้อ ต้องเข้าคิวรอขายปาล์ม เพราะโรงงานสกัด ผลผลิตออกสู่ตลาดมาก

วันนี้ราคารับซื้อปาล์มหน้าโรงงานเปิดรับซื้อปาล์ม 22% ก.ก.ละ 5.80  บาท  ปาล์ม 18% ก.ก.5.20 บาท  ส่วนที่ลานเทหยุดรับซื้อ 1-2 วันสลับการซื้อวันต่อวัน เพราะต้องรอระบายผลผลิตที่รับซื้อส่งโรงงานก่อน เหตุปาล์มติดคิวค้างที่โรงงาน อ้างสกัดไม่ทัน 

ส่วนลานที่เปิดรับซื้อก็ซื้อเฉพาะลูกค้าประจำเท่านั้น ลานหยุดรับซื้อกว่าประมาณร้อยละ 30 ลานเทรับซื้อปาล์มหลายแห่งหยุดรับซื้อไปก่อน เนื่องจากขาดทุนเพราะเมื่อรถบรรทุกพ่วงส่งปาล์มก็ติดคิวนอนรอ 1 คืนน้ำหนักปาล์มหาย 1 ตัน นอนรอ 2 คืน น้ำหนักปาล์มหาย 2 ตัน รถบรรทุกพ่วงจะบรรทุกปาล์มตามน้ำหนักที่กฎหมายกำหนด

ขณะที่เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมันทั่วประเทศ รวมทั้ง จ.ตรังเตรียมเคลื่อนไหวใหญ่เรียกร้องแก้ปัญหาราคาปาล์มที่ไม่เป็นธรรมในสัปดาห์นี้  ชาวสวนปาล์มจะยื่นหนังสือต่อผู้ว่าฯตรัง วันที่ 23 เมษายน นี้ หลังโรงงานกดราคารับซื้อเหลือกิโลกรัมละ 4 บาทกว่า ถึง 5 บาทกว่าๆ จะโดนกดราคาไปเฉลี่ย กิโลกรัมละ 3 บาท ทั้งที่ช่วงก่อนหยุดสงกรานต์ราคาปาล์มจะอยู่ที่ 7 ถึง 8 บาท

“ชาวสวนปาล์ม ร้องว่า น้ำมันปาล์มไม่ได้ส่งออกไปสหรัฐอเมริกาทำไม โรงงานกดราคารับซื้อ กิโลกรัมละ 3บาทเช่นนี้ อยากร้องขอความเป็นธรรมให้กับชาวสวนปาล์มน้ำมันด้วย หน่วยงานภาครัฐได้ทำหน้าที่กันอยู่หรือไม่”

ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่สำรวจบรรยากาศการรับซื้อผลผลิตปาล์มน้ำมันจากเกษตรกร ที่ลานรับซื้อต่างๆ ใน จ.ตรัง พบว่าหลายแห่งประกาศหยุดรับซื้อในบางวัน โดยบางแห่งมีการขึ้นป้าย บางแห่งก็ไม่ได้มีการขึ้นป้ายแต่แจ้งเตือนลูกค้าประจำผ่านทางไลน์  ส่วนลานที่เปิดรับซื้อ ก็ต้องคอยแจ้งลูกค้าที่จะมาขายว่า จำกัดรับซื้อเฉพาะผลผลิตจากลูกค้าประจำเท่านั้น ส่วนลูกค้าขาจรไม่รับซื้อ ทำให้ลูกค้าบางรายที่ลานประจำปิด  ต้องตระเวนหาที่ขาย โดยลานเทบอกว่า เคลียร์ผลผลิตที่ซื้อค้างไว้ก่อน 

ขณะที่โรงงานสกัดอ้างว่า ผลผลิตออกจำนวนมากจนโรงงานสกัดน้ำมันไม่ทัน ทำให้รถบรรทุกจากลานรับซื้อต่างๆ  ต้องไปเข้าคิวรอประมาณ 1 -2 คืน จึงจะได้ขาย ทำให้ลานรับซื้อต้องขาดทุกจากน้ำหนักที่หายไป 1 ถึง 2 ตันต่อรถพ่วง   

ขณะเดียวกันโรงงานแจ้งราคารับซื้อแบบวันต่อวัน โดยราคาวันที่ 21 เมษายน เกษตรกรขายได้ที่ลานเทราคา กก.ละ 4.40 - 4.70 บาท และแนวโน้มราคายังจะลดลงอีก 

อย่างไรก็ตาม ในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ราคาปาล์มที่ลานรับซื้ออยู่ที่ประมาณ กก.ละ 6 ถึง 7 บาท หลังเทศกาลสงกรานต์ราคารับซื้ออยู่ที่ประมาณ กก.ละ 4 บาทกว่า

อรุณ ยังศรีจันทร์ คนขับรถบรรทุกพ่วง 22 ล้อ บอกว่า “มารอลงปาล์ม 1 คืน 2 วันแล้วยังไม่ถึงคิว เพราะเมื่อถึงเวลา 6 โมงเย็นโรงงานก็ปิดรับ ต้องนอนรอคิว รถที่ตนขับของลานรับซื้อ ของเราเป็นรูปบริษัท ส่งปาล์ม 2 จังหวัดตรังและสุราษฎร์ธานี คนขับรถก็ต้องนอน ทางโรงงานไม่แจ้งว่าเพราะอะไร แต่เราก็ต้องรอ ช่วงผลผลิตปาล์มออกสู่ตลาดมาก บางครั้งนอนค้าง 2 คืน ประมาณหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาปาล์มมากรถบรรทุกต้องนอนค้างที่โรงงาน”

ด้าน วันชัย นุชคง ผู้จัดการบริษัท ปัณณวัฒน์ ปาล์ม แอนด์ รับเบอร์ จำกัด กล่าวว่า ผลผลิตปาล์มออกมามากโรงงานสกัดไม่ทัน รถบรรทุกก็ต้องไปรอคิวเพื่อลงปาล์ม ลานรับซื้อของเรามี 4 สาขา ส่งเข้าโรงงานวันละ 100 ตันอย่างน้อย เมื่อส่งปาล์มไปที่โรงงานติดคิวนอนค้าง 2 คืน น้ำหนักปาล์มจะหายไป 2 ตันแน่นอน เพราะสภาพอากาศ   แดดร้อนฝนตก สลับกัน ปกติซื้อปาล์มวันต่อวัน ต้องส่งเข้าโรงงานให้หมดไม่มีค้าง

“ทางเราจะส่งปาล์มไปที่ โรงงานสกัดในตรัง กระบี่ และ สุราษฎร์ธานี ปัญหาปาล์มล้น ต้องรออีก 1-2อาทิตย์น่าจะคลี่คลาย ราคาไม่น่าจะลดลงมากกิโลกรัมละ 3 บาท ทางเราซื้อ 4 บาทกว่า ส่งโรงงาน 5 บาทกว่า ค่าขนส่ง เอาเฉพาะปาล์มสุกไปขาย ไม่เช่นนั้นโรงงานก็คัดปาล์มออก กำไรเล็กน้อย หากรถไปค้างนอนรอคิว น้ำหนักปาล์มหายแน่นอน รถพ่วง 22 ล้อ บรรทุกได้ 18 ตัน หากนอนค้างคืนน้ำหนักจะหายไปคืนละ 1 ตัน 2คืนหาย 2ตัน แน่นอน”