นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) เปิดเผยว่า ราคาทองคำในตลาดโลกปรับตัวขึ้นสูงสุดเป็นประวัติกาลครั้งใหม่ที่ระดับ 2,160 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ ส่งผลให้นับจากต้นปีราคาทองคำปรับขึ้นมากว่า 4.50 % เป็นการปรับขึ้นนับตั้งแต่ก้าวสู่เข้าสู่เดือนมีนาคม จากปัจจัยสนับสนุน 4 ด้าน ดังนี้
1. นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ก่อนนี้นักลงทุนคาดหวังว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยมากสุด 6 ครั้ง ล่าสุดมองว่าเฟดจะลดลงแค่ 3-4 ครั้ง เท่านั้น จึงเกิดแรงขายทองคำออกมา อย่างไรก็ดีตลาดได้ซึมซับปัจจัยดังกล่าวไปแล้ว ราคาทองคำจึงเริ่มฟื้นตัว อีกทั้งยังเริ่มมีความกังวลต่อภาคการจ้างงานที่ลดลง จึงเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ราคาทองคำกลับมาเคลื่อนไหวอย่างคึกคัก
2. ธนาคารกลางทั่วโลกที่ถือครองทองคำมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นมา ธนาคารกลางทั่วโลกเข้าซื้อทองคำกว่า 1,000 ตันต่อปี เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่จะมีการเข้าซื้อที่ประมาณ 400-600 ตันต่อปี
3. ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งนำไปสู่กระแส 'De-dollarization' หรือการลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่ใช้เป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ หรือใช้ในการค้าระหว่างประเทศ ส่งผลให้ความต้องการทองคำมีมากขึ้น
4. ทองคำได้ทรานส์ฟอร์มจากสินทรัพย์ทางกายภาพสู่การเก็งกำไรในโลกดิจิทัล ส่งผลให้เกิดแรงซื้อจากนักลงทุนใหม่เข้ามามากขึ้น นับตั้งแต่การเกิดการระบาดของโควิด 19 เป็นต้นมา
หลังจากที่ราคาทองคำทำจุดสูงสุดใหม่ในระยะสั้นอาจมีแรงขายทำกำไรสลับออกมา แต่ภาพของทองคำระยะยาวปี 2567 จะเป็นไปในทิศทางขาขึ้น โดยมองว่ามองครึ่งหลังของปีนี้ ทองคำโลกมีลุ้นทำสถิติใหม่ที่ 2,300 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ และเทรนด์ยังเป็นขาขึ้นไปอีก 2- 3 ปี
ขณะที่ราคาทองคำไทย โดยทองคำแท่งในประเทศ 96.5% เดินหน้าทำระดับสูงสุดเป็นประวัติกาลอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน และทำระดับสูงสุดใหม่ที่ระดับ 36,350 บาทต่อบาททองคำ อานิสงส์มาจากค่าเงินบาทอ่อนค่าอยู่ใกล้โซน 36 บาทต่อดอลลาร์
