“ซัมเมอร์คือตัวร้ายที่ไม่เข้าใจหัวอกผู้ชาย”
“สงสารทอมเนอะ ดีแล้วที่มูฟออน”
“ทำไมซัมเมอร์ถึงใจร้าย ทำตัวแบบนั้นกันนะ ไม่เข้าใจจริงๆ”
ข้อความข้างต้นกับอีกสารพัดความเห็นล้วนเกิดขึ้นอยู่ภายในใจเมื่อเราได้ชมภาพยนตร์เรื่อง (500) Days of Summer จบ หนังดูเหมือนจะจบแบบแฮปปี้เอ็นดิง แต่ก็ให้ความรู้สึกเจ็บแปลบๆ อยู่ข้างในอย่างบอกไม่ถูก ความรู้สึกเหมือนตุ่มกลางหลังที่พอเอาไม้เกาหลังถูๆ ก็พอบรรเทาความคันได้ แต่ไม่มากจนถึงขั้นลืม ‘ความคัน’ นั้นไปได้

(500) Days of Summer เรื่องราวของหนุ่มที่ชื่อ ทอม แฮนเซน (Tom Hansen) ได้ไปตกหลุมรักเพื่อนร่วมงาน หลังจากที่พบกันและคิดว่าเคมีน่าจะตรงกันดี ทอมรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้แหละจะเป็นคนที่เขารักและใช้เวลาด้วยไปตลอดชีวิต ทว่าเวลาผ่านไปในระยะเวลา 500 วัน ความสัมพันธ์ของทั้งสองเริ่มเปลี่ยนแปลงไป ทอมรู้สึกเหมือนรักซัมเมอร์อยู่ข้างเดียว และพอเลิกรากันไป ซัมเมอร์ก็พบกับคนใหม่ พร้อมจะแต่งงานในทันที เรื่องนี้ทำเอาทอมไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
กำกับฯ โดย มาร์ค เว็บบ์ (Marc Webb) ที่ทุกวันนี้เรายังคงเห็นผลงานกำกับฯ หนังฮีโร่มากมาย แต่ (500) Days of Summer ของเขาถูกยกย่องให้กลายเป็นหนังรอมคอมจุกอกที่ประสบความสำเร็จ และเป็นหนึ่งในหนังที่ผู้ชมทั่วโลกมีความรู้สึกอยากดูวนซ้ำอยู่ตลอดเมื่อเวลาผ่านไป เป็นเรื่องที่น่าสงสัยว่าทำไมหนังเรื่องนี้ถึงเข้าถึงชีวิตผู้คนได้จนถึงปัจจุบัน และมีประเด็นให้น่าถกเถียงไม่รู้จบ โดยประเด็นหลักๆ คือเรื่อง การเข้าใจผิดในตัวละคร หลายคนให้ความเห็นว่าซัมเมอร์ไม่ใช่ตัวร้าย และเมื่อเติบโตขึ้นเราจะเข้าใจซัมเมอร์เองในที่สุด

แต่จุดสังเกตนั้นค่อนข้างชัดเจนตั้งแต่แรกที่ทั้งสองพบกันแล้ว เพราะสิ่งที่ซัมเมอร์บอกเป็นนัยๆ คือ “ไม่จริงจังกับความสัมพันธ์นี้” ขณะเดียวกัน ทอม เหมือนจะมุ่งมั่นตั้งใจเป็นพิเศษ อยากจะเปลี่ยนความไม่จริงของซัมเมอร์ให้กลายเป็นความรักให้ได้ จะเห็นว่าหนังพยายามบอกเล่าในมุมมองความคาดหวังของทอมเป็นพิเศษ นั่นเป็นเพราะว่าหลังจากที่ ทอม เริ่มตั้งใจกับความสัมพันธ์ครั้งนี้ เขาเริ่มมีภาพในหัว มีภาพที่อยากให้ ซัมเมอร์เป็นมากกว่ามองซัมเมอร์ใ้นแบบที่เป็นตัวซัมเมอร์เอง
จริงอยู่ว่า ทอม อาจถูกมองว่าเป็น ‘ชายแสนดี’ ผู้ที่มอบเวลาและความรักให้อย่างสม่ำเสมอ แต่เขาเดินผิดจุดตั้งแต่แรก คือคิดผิดตั้งแต่แรกนั่นเอง หนังมีจุดที่ทำให้ผู้ชมรู้สึกเห็นใจ ทอม เป็นพิเศษ (หนังตั้งใจดำเนินเรื่องให้เป็นเช่นนั้น) เมื่อสิ่งที่เขาต้องการไม่ลงรอยกับ ซัมเมอร์ เขาจะถามเสมอว่า “เกิดอะไรขึ้น” หรือ “ทำไมเป็นไปไม่ได้” โดยปราศจากสิ่งที่เขาตกลงใจไปว่า ซัมเมอร์ “ไม่ได้จริงจังกับเขาตั้งแต่แรก”

(500) Days of Summer เป็นหนังสดใหม่ หรือแตกต่างจากหนังรอมคอมทั่วไปในการบอกว่า “ผู้หญิงไม่ใช่สิ่งที่ผู้ชายเอาไปเก็บคิดฝันเพ้อเจ้อ” เหมือนที่ ทอม ชอบคิดตลอดเวลาโดยอิงสิ่งที่เขาเชื่อว่าเขาจะเปลี่ยนใจ ซัมเมอร์ ให้ได้ ทั้งๆ ที่ ความรักคือความสัมพันธ์ไม่ได้เป็นไปในทิศทางนั้น ทีแรกผู้ชมอาจเข้าใจว่า ซัมเมอร์ ใจร้าย แต่ถ้าคิดดูให้ดี ไม่มีใครใจร้ายเลย มันเป็นเพียงความมั่นอกมั่นใจที่ผิดพลาดของ ทอม เอง
อีกหนึ่งสิ่งที่หนังพยายามสื่อสารคือ ความสัมพันธ์เป็นเรื่องซับซ้อนกว่าที่คิด การขาดความเข้าใจกัน หรือไม่เข้าใจสารที่สื่อถึงกันจะนำมาซึ่งสิ่งเลวร้ายเสมอ หนังไม่ได้ต้องการจับผิดว่าใครเป็นคนที่ผิดที่สุดในเรื่อง และการที่ ซัมเมอร์ ถูกมองว่าเป็นตัวร้าย คงเป็นการมองแบบตื้นเขินที่มองว่าผู้หญิงต้องเป็นฝ่ายที่งี่เง่าและมีข้อแม้เยอะที่สุด แต่หนังพยายามเล่ากลับกัน ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เพศ ปัญหาอยู่ที่การเข้าใจกันมากกว่า และเราไม่สามารถบังคับใครให้มารักเราได้

ท้ายที่สุด ทอม สามารถปล่อยใจยอมรับความจริง และเปลี่ยนแปลงการใช้ชีวิตไปสู่สิ่งที่ดีกว่าอย่างการสมัครงานใหม่ และดูเหมือนจะพบกับผู้หญิงที่น่าสนใจ (หวังว่าจะไม่คิดไปเองเหมือนเดิมแล้วนะทอม) เป็นแฮปปี้เอ็นดิ้งให้กับผู้ชมว่าหลังจากความขมขื่นจากความสัมพันธ์ ยังมีอนาคตที่ดีรออยู่เสมอ และบทเรียนจากความสัมพันธ์ครั้งก่อนจะทำให้เราเข้าใจโลกของความรักได้ดียิ่งขึ้น
ทุกวันนี้ยังไม่มีใครทราบว่าทำไม (500) Days of Summer กลายเป็นหนังที่ถูกดูวนซ้ำ หรือถูกพูดถึงบ่อยๆ ผู้เขียนสันนิษฐานว่าน่าจะเพราะเป็นกระบอกเสียงสำคัญในการเข้าใจกันและกันในความสัมพันธ์ หรือเป็นการเตือนทุกๆ คนว่า “อย่าเพ้อฝัน” หากคนที่คุณอยู่ด้วยไม่ได้คิดแบบเดียวกับคุณ ที่แน่ๆ หนังเรื่องนี้ได้กลายเป็นหนังรักที่แตกต่างจากหนังรักทั่วๆ ไป ไม่มีภาพของการเหมารวมว่าผู้ชายต้องเป็นแบบนี้ หรือผู้หญิงต้องเป็นแบบใด อาจเข้าข่ายอยู่ในจำพวกเดียวกับเรื่อง ‘Eternal Sunshine of the Spotless Mind’ หนังรักกึ่งไซไฟที่ให้ความรู้สึกจุกอกแก่ผู้ชมไม่แพ้กัน
สำหรับใครที่ยังไม่เข้าใจภาพรวมทั้งหมด อย่าลืมกลับไปชม (500) Days of Summer ด้วยใจที่เปิดกว้างกว่าเดิม คุณอาจเข้าใจสิ่งที่หนังพยายามสื่อสารมากขึ้นกว่าเดิมก็เป็นได้