[Space Review] ‘ซีรีส์ที่จะทำให้คุณรู้จักคุณค่าของชีวิต’ Alice in Borderland Season 2

สิ้นสุดการรอคอยสำหรับซีรีส์ที่หลายคนรอกันมาเกือบ 2 ปีเต็ม ‘Alice In Borderland Season 2’ ซีรีส์สัญชาติญี่ปุ่นที่สร้างจากมังงะ (การ์ตูนญี่ปุ่น) พูดถึงเรื่องราวของการเอาชีวิตรอดผ่านการเล่นเกมต่างๆ ในดินแดนที่ไม่มีใครรู้ว่า พวกเขาอยู่ที่ไหน แต่รู้แค่ว่า ทุกคนต้องมีชีวิตรอดจากการแข่งขันเกมเหล่านี้ไปให้ได้ และเนื่องด้วยผมตัวผู้เขียนชื่นชอบการ์ตูนมังงะเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ทำให้ตัดสินใจรีบเปิดดูครบจบ 8 ตอนรวดพอดี เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา นี่คือรีวิวจากผมมีที่มีต่อซีรีส์เรื่องนี้ครับ
 
Alice In Borderland ซีซันนี้พูดถึงเรื่องราวที่ต่อเนื่องจากภาคแรกกับการผจญภัยของกลุ่มตัวเอง (อะริสุ, อุซางิ, คุอินะ และ ชิชิยะ) หลังจากที่เคลียร์เกมในภาคแรกทั้งหมดสำเร็จ ในภาคนี้พวกเขาจะต้องเจอกับเกมที่มีความยากมากขึ้นและเป็นการต่อสู้กับบอสใหญ่ของไพ่ต่างๆ ทั้ง คิงดอกจิก, ควีนดอกจิก, แจ็คดอกจิก, คิงข้าวหลามตัด, ควีนข้าวหลามตัด, แจ็คข้าวหลามตัด, คิงโพดำ, ควีนโพดำ, แจ็คโพดำ, คิงโพแดง, ควีนโพแดง และ แจ็คโพแดง เพื่อหาคำตอบว่าที่แท้จริงแล้ว เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นดินแดนมรณะคืออะไรกัน ?  

โดยในภาคนี้หลังจากที่ดูจบทั้ง 8 ตอนแล้วถือเป็นซีรีส์ที่เต็มอิ่มมากๆ ในด้านของอารมณ์ ความสนุกและดราม่าต่างๆ ที่เกิดขึ้นภาคนี้ถือว่าทำได้ดีกว่าภาคแรกมากๆ รวมไปถึงรูปแบบของเกมต่างๆ ที่มีเอกลักษณ์เหมือนในมังงะเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ทำให้ใครที่เป็นแฟนมังงะต้องชอบซีรีส์เรื่องนี้อย่างแน่นอน อีกทั้งในแง่ของปรัชญาที่พูดถึงเรื่องคุณค่าของชีวิต ซีซันนี้ทำได้ดีมากๆ จริงๆ เพราะเมื่อคุณดูจบ คุณจะได้ค้นพบคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ของเหล่าตัวเอกในเรื่องนี้อย่างแน่นอน

อีกทั้งในเชิงของงานภาพต่างๆ ยังเป็นอีกครั้งที่ทีมงานของซีรีส์เรื่องนี้เก็บงานได้ละเอียดอีกเช่นเคย ทั้งการเนรมิตบรรยากาศต่างๆ ในญี่ปุ่นให้เหมือนกับภาพในมังงะชนิดที่เอามาเทียบกันฉากต่อฉากเรียกได้ว่า เป๊ะเป๊ะเลยก็ว่าได้ ใครที่ชอบงานก็ไม่ผิดหวังอีกครับสำหรับซีรีส์เรื่องนี้

อีกหนึ่งสิ่งที่ขาดไปไม่ได้เลยก็คือ เรื่องราวของปูมหลังตัวละครต่างๆ ในซีรีส์เรื่องนี้ที่ในซีซันนี้จะมีการเล่ารายละเอียดทั้งหมดอย่างชัดเจนว่า แต่ละคนมีที่มาที่ไปอย่างไรบ้าง รวมไปถึงความสัมพันธ์ของตัวละครเอกอย่าง อะริสุ และ อุซางิ ที่มาที่ไปอย่างชัดเจนในซีซันนี้
 
ฉะนั้นแล้วสำหรับผม ผมขอให้คะแนนซีรีส์นี้ไป 8.5/ 10 ด้วยกัน (ไม่อยากให้เต็มเพราะมีบางช่วงของซีรีส์ที่ต้องยอมรับเหมือนกันว่า เว่อร์วังอลังการไม่สมเหตุสมผลไปนิด) แต่โดยรวมถือว่าเป็นซีรีส์ที่แลนดิ้งจบได้อย่างสมเหตุสมผลและใครที่ชื่นชอบมังงะบอกเลยงานนี้ห้ามพลาดเด็ดขาด  
ที่สำคัญอาจจะมีสัญญาณบางอย่างสำหรับ ซีซัน 3 อยู่ในซีรีส์ภาคนี้ก็เป็นได้ โปรดติดตามให้ดี !  
 
 

(เนื้อหาต่อจากนี้คือ สปอย ใครที่ยังไม่ได้ดู โปรดเลื่อนผ่านอย่างเร็วไวครับ)  

. 
. 
. 
ในซีซั่นที่ 2 นี้จะเป็นการเล่าเรื่องต่อเนื่องกันจากซีซั่น 1 ทันที หลังจากที่กลุ่มตัวเอก (อะริสุ, อุซางิ, คุอินะ และ ชิชิยะ) ได้เคลียร์เกมเสร็จสิ้นทั้งหมด พร้อมกับการปรากฏตัวของผู้คุมเกมคนสำคัญอย่าง ‘มิระ’ ที่กล่าวต้อนรับเข้าสู่สเตจสุดท้ายของการแข่งขันเกมครั้งนี้  
ซึ่งก็คือการพบกับบอสสูงสุดของไพ่แต่ละใบได้แก่ คิงดอกจิก, ควีนดอกจิก, แจ็คดอกจิก, คิงข้าวหลามตัด, ควีนข้าวหลามตัด, แจ็คข้าวหลามตัด, คิงโพดำ, ควีนโพดำ, แจ็คโพดำ, คิงโพแดง, ควีนโพแดง และ แจ็คโพแดง   
โดยในซีรีส์ทันทีที่เปิดอีพีแรกมาได้ระยะเวลาไม่นานมาก ภาพก็ตัดไปที่ฉากแอ็คชั่นสุดมันส์ของกลุ่มตัวเอกที่พบกับ ‘คิงโพดำ’ และถูกไล่ล่าทันที มีกลุ่มผู้คนจำนวนมากล้มตายไปจากเหตุการณ์ไล่ล่าครั้งนี้ พร้อมกับสัญญาณบอกว่า การไล่ล่าของพลเมือง (พลเมือง คือ ผู้ที่ไม่ต้องมีวีซ่าในการอยู่ในดินแดนมรณะนี้และสามารถเป็นผู้ควบคุมเกมทั้งหมดได้) กับผู้เล่นเกมส์ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ก่อนที่กลุ่มของตัวเอกจะแยกย้ายกระจายไปจากเหตุการณ์ครั้งนี้  

ก่อนที่ อะริสุ, อุซางิ, คุอินะ และทัตตะ จะตัดสินใจเข้าร่วมเล่นเกมเพื่อหนีการไล่ล่าของคิงโพดำ ซึ่งพวกเขาก็ได้เลือกเกมแรกที่เล่นก็คือ ‘ไพ่คิงดอกจิก’ ความเซอร์ไพร์สในเกมนี้ก็คือการที่ นิรากิ ที่ถูกไฟครอกไปในซีซันที่แล้วกลับมาร่วมเล่นเกมนี้อีกครั้ง ซึ่งทีมของคิงดอกจิกนั้นนำทัพโดย ‘คิวมะ’ (แสดงโดย ยามะพี) และผองเพื่อนสมาชิกวงดนตรี ‘THE SOLOGY’ ในเกมที่มีชื่อว่า ‘เกมนับเลข’ เกมที่แต่ละฝ่ายจะต้องสัมผัสตัวของฝ่ายตรงข้ามด้วยวิธีการ แบทเทิล, ร่วมพลังกัน และ หาไอเท็มมา โดยมีระยะเวลา 2 ชั่วโมงด้วยกันในการเล่นเกมนี้ หากทีมไหนคะแนนเยอะสุดจะเป็นฝ่ายชนะไป ก่อนที่ท้ายที่สุดจะเป็นฝ่ายของกลุ่มผู้เล่นเอาชนะไปได้ในที่สุด แม้เกมนี้พวกเขาจะสูญเสีย ทัตตะ ไปจากการเสียสละครั้งสำคัญก็ตาม แม้ฉากในเกมนี้จะโดนขโมยซีนไปด้วยก้นของยามะพีที่นำแสดงเป็น คิวมะ ก็ตาม แต่ฉากของการสูญเสียก็สำคัญไม่แพ้กัน
 
หลังจากที่สูญเสีย ทัตตะ ไปทำให้ อะริสุ เริ่มหมดไฟในการมีชีวิตต่อไป เพราะเขารู้ว่า ท้ายที่สุดแล้ว เขาต้องเสียคนที่เขารักรอบตัวไปจากการเล่นเกมนี้ก็ตาม แถมความสัมพันธ์กับ อุซางิ ก็ดูเหมือนจะถึงทางตันจากความรู้สึกที่ไม่อยากจะมูฟออนจากเหตุการณ์การสูญเสียคุณพ่อที่เธอเองก็ยังไม่เข้าใจว่า เหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นเพราะตัวเธอหรือไม่ ?  

ตัดภาพกลับมาที่ฝั่งของ ‘ชิชิยะ’ ถือเป็นอีกตัวละครหนึ่งที่สำคัญในซีซันนี้ หลังจากที่แยกกับกลุ่มของตัวเอกมาคนเดียว เขาได้เข้าร่วมเล่นเกมของ ‘แจ็คโพแดง’ ในเกมที่ชื่อว่า เกมขั่งเดี่ยว เกมที่ต้องใช้ความเชื่อใจในการทายไพ่ที่อยู่ข้างหลังของตัวเอง ซึ่งความพิเศษของเกมนี้ก็คือ การปลุกปั่นความคิดและความเชื่อของผู้เข้าแข่งขัน แถมในเกมนี้ตัวของ แจ็คโพแดง ยังได้เข้าร่วมเกมด้วย ทางเดียวที่จะเคลียร์เกมนี้ได้ก็คือ การฆ่าแจ็คโพแดงให้จงได้ มิเช่นนั้นเกมก็จะดำเนินต่อไปอย่างไม่มีวันสิ้นสุด งานนี้ ‘ชิชิยะ’ จึงได้ใช้ไหวพริบเคลียร์เกมนี้ได้สำเร็จ พร้อมกับการเฉลยตัวตนที่แท้ของแจ็คโพแดงอย่างสุดเหนือจินตนาการอีกด้วย
 
จากการเคลียร์เกมของ ‘ชิชิยะ’ ที่จัดการแจ็คโพแดงได้สำเร็จ ทำให้ภาพตัดมาที่กลุ่มฝั่ง อะริสุ อีกครั้ง แต่ในครั้งนี้เป็น คุอินะ ที่ตัดสินใจขอแยกตัวออกไปตามหาคนมาร่วมทีมในการจัดการกับคิงโพดำที่ไล่ฆ่าคนอยู่เรื่อยๆ ตลอดทั้งเกม ทำให้ตอนนี้เหลือเพียงแค่ อะริสุ และ อุซางิ เท่านั้นในการเดินทางต่อจากนี้  

แต่หลังจากที่พยายามค้นหาคำตอบอยู่สักพักทั้งคู่ก็ต้องแยกทางกันอีกครั้งจาการโจมตีของ คิงโพดำ ทำให้ อะริสุ ได้ถูกกลุ่มคนปริศนาพาตัวเข้าไปอยู่ที่กลางป่า ส่วนอุซางินั้นก็บาดเจ็บเล็กน้อยและผลัดหลงจากโจมตีครั้งนี้ด้วยเช่นกัน หลังจากที่ อะริสุ ตื่นมาอีกครั้งเขาได้พบกับหญิงสาวนักธนูที่ขาเหลือเพียงข้างเดียวอย่าง อากาเนะ (นำแสดงโดย ยูริ ซึเนะมัตสึ จาก The Naked Director Season 2) ที่เล่าให้ฟังว่าเธอได้ถูกรับคำสั่งจากชายคนหนึ่งให้นำตัวอะริสุมาด้วย เพราะว่า หากมีอะริสุอยู่กับเขา โอกาสที่จะล้มคิงโพดำก็จะมีมากยิ่งขึ้น ซึ่งชายคนนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือ อางูนิ ชายคนสนิทของคนขายหมวกที่ยังคงผจญภัยอยู่ในดินแดนมรณะและต้องการหาคำตอบจากการตายของคนขายหมวกในซีซันแรกว่า เขาเป็นคนสร้างปมนี้ให้เกิดขึ้นในชีวิตของเขาหรือไม่

การได้รับความช่วยเหลือจาก อางูนิ แม้จะเป็นเพียงแค่ช่วงเวลาไม่นาน แต่ก็พอจะทำให้อะริสุได้รู้ว่า ทุกคนที่อยู่ในดินแดนมรณะพยายามจะหาทางออกจากดินแดนนี้ให้ได้ในเร็ววันแล้ว เพราะทุกคนไม่อยากที่จะต้องมาแข่งขันเกมเหล่านี้อีก และเมื่อร่างกายของ อะริสุ ค่อยๆ ดีขึ้น เขาจึงได้ขอแยกทางออกมาจาก อางูนิ แม้จะมีการปะทะกันกับคิงโพดำอยู่หนึ่งครั้งก็ตาม

ภาพได้ตัดกลับมาที่ฝั่งของ อุซางิ อีกครั้งแต่ในครั้งนี้เธอได้พบกับเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เหลือวีซ่าในดินแดนมรณะอีกเพียงแค่หนึ่งวันเท่านั้น ทำให้เธอตัดสินใจเข้าร่วมเกมอีกครั้ง โดยเกมที่เธอตัดสินใจพาเด็กหนุ่มคนนี้ไปเล่นก็คือเกมของ ‘ควีนโพดำ’ ในเกมที่มีชื่อว่า เกมเช็คเมท หรือ เกมวิ่งไล่จับแบบที่เรารู้จักนั้นเอง ในเกมนี้พวกเขาได้พบกับ ควีนโพดำที่มีพละกำลังที่แข็งแรงพร้อมกับการควบคุมเกมที่เธอใช้จิตวิทยาดึงทุกคนมาอยู่เป็นพวกเธอได้สำเร็จ แต่สุดท้ายแล้ว เธอก็พลาดท่าให้กับ อุซางิ ที่ปลุกใจผู้เข้าแข่งขันทุกคนว่า เราควรจะออกจากดินแดนมรณะแห่งนี้กันได้แล้ว ไม่ใช่การติดอยู่ในดินแดนนี้ตลอดไป จากการพูดครั้งนี้จึงทำให้ทุกคนเปลี่ยนใจกลับมาเสริมกำลังให้กับอะริสุและอุซางิอย่างเต็มตัวและเอาชนะ ควีนโพดำไปได้ในที่สุด

จบที่เกมของควีนโพดำไปทำให้ อะริสุ และ อุซางิ ได้มีเวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น และความสัมพันธ์ของทั้งสองก็พัฒนาไปถึงจุดที่ทั้งคู่รู้สึกว่า ต่างมีความรู้สึกดีๆ ให้แก่กันและกัน จากเหตุการณ์นี้เองจึงทำให้ความสัมพันธ์ที่ดูเหมือนจะห่างเหินของเขาทั้งสองคนกลับมาแน่นแฟ้นอีกครั้ง และพร้อมที่จะเดินหน้าปิดฉากเกมในดินแดนมรณะแห่งนี้ต่อไป

เรื่องถูกเล่ามาที่ฝั่งของ อิชิยะ อีกครั้งด้วยความที่เจ้าตัวเป็นคนที่มีไหวพริบและความฉลาดทำให้เขาตัดสินใจเข้าร่วมเล่นเกมของ คิงข้าวหลามตัด เกมที่ต้องใช้สติปัญญาในการเล่น ซึ่งคิงข้าวหลามตัดก็คืออีกหนึ่งตัวละคนที่อาศัยอยู่ในเดอะบีชตั้งแต่ซีซันที่หนึ่งแล้ว โดยในเกมนี้ที่ อิชิยะ เข้าร่วมเล่นก็คือ ‘เกมตาชั่ง’ เกมที่ว่าด้วยเรื่องของตัวเลขและการคาดคะเนเดาใจของอีกฝั่ง หากใครที่พ่ายแพ้ -10 ในเกมนี้ก่อนก็จะต้องถูกน้ำกรดราดไปที่บริเวณร่างกายและเสียชีวิตในที่สุด ซึ่งเกมนี้ก็เป็นอีกเกมที่ อิชิยะ ได้มีโอกาสพูดคุยกับ คิงข้าวหลามตัดอย่างเป็นทางการและพูดถึงเรื่องราวดินแดนมรณะได้อย่างน่าสนใจ เพราะ ตัวของคิงข้าวหลามตัดเองก็ไม่ได้ต้องการที่จะทำให้คนอื่นต้องมาตายแบบนี้อยู่บ่อยๆ เขาเองก็มีปมและความรู้สึกที่เขาขัดแย้งกับกลุ่มผู้นำของเกมนี้เช่นกัน จนในที่สุด อิชิยะ ก็เป็นฝ่ายชนะได้สำเร็จหลังจากที่บอกความรู้สึกถึงการมีชีวิตรอดต่อไปให้กับคิงข้าวหลามตัดฟังอย่างตรงไปตรงมา

ซีรีส์จะเล่าต่อไปทันทีที่ฝั่งของ คุอินะ และ อัน ที่ได้กลับมาเจอกันอีกครั้งในเกมของ ควีนดอกจิก กับเกมที่มีชื่อว่า ทาร์เก็ต หรือเกมที่ต้องปลูกลูกบอลให้โดนอีกฝ่ายให้อีกฝ่ายตกลงไปจากบริเวณพื้นที่ที่ยืนอยู่ให้จงได้ และเรื่องก็เล่าอย่างรวดเร็วว่า ในขณะที่เธอทั้งคู่กำลังต่อสู้เพื่อชนะเกมต่างๆ ที่เหลือในดินแดนมรณะ ผู้เล่นทุกคนรวมไปถึงทั้ง คุอินะ และ อัน ก็ต่างทำได้สำเร็จในการแข่งขันครั้งนี้ 

จากนี้ไปจึงเหลือเพียงแค่เกมของ คิงโพดำ และ ควีนโพแดง เท่านั้น พวกเขาก็จะสามารถเคลียร์เกมทั้งหมดได้สำเร็จพร้อมกับการหาคำตอบว่า แท้จริงแล้วเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในดินแดนมรณะนี้มันคืออะไรกันแน่ ซีรีส์จึงเล่าต่อไปทันที กลางย่านชิบูย่ากลุ่มผู้เล่นที่รอดชีวิตต่างมารวมตัวกันเพื่อเคลียร์เกม คิงโพดำ ให้จบลงให้ได้ และกลุ่มของตัวเอกทั้งหมดก็ได้มาพบกันทั้ง อะริสุ, อุซางิ, คุอินะ, ชิชิยะ, อัน, นิรากิ, อุงานิ และ อากาเนะก็ได้มาพบกันในที่สุด

แต่ก่อนที่พวกเขาจะได้พบกันกับ คิงโพดำ ก็ได้เกิดการปะทะกันขึ้นของ อะริสุ, นิรากิ และ ชิชิยะ ที่ตัดสินใจจะดวลปืนกันเพื่อตัดสินเกม แต่ทั้งหมดก็ไม่ได้เกิดขึ้นจนจบเนื่องจาก ต่างฝ่ายต่างบาดเจ็บไปเสียก่อน และการปรากฏตัวของ คิงโพดำ ก็โผล่มาในจังหวะที่กำลังจะตัดสินใจเกมพอดี ทำให้เกิดการปะทะขึ้นกันจนได้ของทีมเหล่าตัวเอกกับคิงโพดำ ซึ่งในเกมนี้เหล่าตัวเอกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำให้กับคิงโพดำในที่สุด อากาเนะ ถูกปืนยิงเข้าไปที่ร่างกายหลายนัด อัน และ คุอินะ บาดเจ็บจากการโจมตีของคิงโพดำ และ อุซางิ เองก็ถูกคิงโพดำแทงไปหลายบาดแผลด้วยกัน ก่อนที่สุดท้ายจะเป็น อะริสุ และ อุงานิ รวมมือกันจัดการคิงโพดำได้สำเร็จและมุ่งหน้าเข้าสู่เกมสุดท้ายของควีนโพแดงได้สำเร็จ

ในเกมสุดท้ายของควีนโพแดงก็เป็นการพบกันของ อะริสุ และ อุซางิ ที่ได้เจอกันกับ ‘มิระ’ ผู้คุมเกมนี้ทั้งหมดในที่สุดและเกมสุดท้ายที่พวกเขาต้องเล่นก็คือ ‘โครเกต์’ หรือถ้าเรียกง่ายๆ ก็คือ บิลเลียดสนามหญ้า ที่จะมีการแข่งขันทั้งหมด 3 เซ็ต หากอะริสุเล่นได้จบเกมไม่ว่าจะชนะหรือแพ้ เขาก็จะชนะเกมนี้ทันที กติกาทั้งหมดดูเหมือนจะง่ายอย่างชอบกล แต่มิระก็ยังคงเป็นมิระอยู่วันยังเธอชวนอะริสุเล่นเกมนี้ด้วยท่าทีอันแยบยลพร้อมทั้งจบเกม 2 เซ็ตอย่างเร็วไว ก่อนที่จะชวนอะริสุและอุซางิดื่มชาพักระหว่างเล่นเกม

ซึ่งในระหว่างที่พักการเล่นเกมก็ได้มีการพูดคุยกับของ อะริสุ กับ มิระ ว่าแท้ที่จริงแล้วโลกของเกมนี้จริงๆ มันคืออะไรกัน มิระจึงตัดสินใจเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในดินแดนมรณะไปต่างๆ นานาปั่นประสาทอะริสุไปเรื่อยๆ ก่อนที่จะใช้ไม้ตายในการเล่าเรื่อง สร้างเรื่องขึ้นมาว่าเธอคือหมอบำบัดจิตของ อะริสุ แต่ก็ได้ อุซางิ มาขัดขวางแผนการนี้ของมิระได้สำเร็จ และพาอะริสุกลับคืนสู่เกมได้ในที่สุด และตัวของมิระเองก็ยอมแพ้ให้กับทั้งคู่ในที่สุด เพราะ อะริสุ และ อุซางิ ได้แสดงให้เห็นถึงพลังของความสัมพันธ์และมิตรภาพที่ทั้งคู่มีให้กัน มิระจึงยอมแพ้และบอกไว้ว่า หลังจากนี้ทั้งคู่จะได้รู้ความจริงว่าเกิดอะไรขึ้นในดินแดนมรณะ ต่อจากนี้ขอให้ทั้งคู่ใช้ชีวิตให้ดีที่สุดและเต็มที่กับมันก็เพียงพอ

เกมทั้งหมดถูกเคลียร์ได้สำเร็จพร้อมกับประกาศจากดินแดนมรณะถึงเส้นทางเลือกที่มี 2 เส้นทางให้กับกลุ่มผู้เล่นเกมนี้ว่า จะอยู่ใช้ชีวิตต่อตลอดกาลในฐานะพลเมือง หรือจะปฏิเสธการใช้ชีวิตในดินแดนมรณะและกลับไปยังโลกที่แท้จริงของพวกเขา ตัวละครเกือบทุกตัวตัดสินใจปฏิเสธที่จะใช้ชีวิตในดินแดนมรณะ เหลือเพียงแค่ไม่กี่คนที่เลือกจะอยู่ต่อเพื่อสร้างโลกใบนี้ต่อไป
 
ภาพตัดมาอีกครั้งที่ฝ่ายของอะริสุที่ได้พบเจอกับเพื่อนซี้ของเขาอย่าง โชตะ และ คารูเบะ สองเพื่อนซี้ที่มาเล่าความจริงให้อะริสุฟังอีกครั้งว่า เขาเองไม่ได้เป็นคนเคลียร์เกมทั้งหมดในดินแดนมรณะเลย และดินแดนมรณะมันก็แทบจะไม่มีจริงด้วยซ้ำ การตายของโซตะและคารุเบะมีเหตุผลที่มากกว่านั้น ไม่ใช่การตายในเกมของดินแดนมรณะ  แต่มันมีรายละเอียดมากกว่านั้น เรื่องจึงเล่าไปต่อว่าเหตุการณ์ที่แท้จริงของเรื่องนี้คืออะไร 

โดยเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นก็คือ มีอุกาบาดครั้งใหญ่ร่วงลงมากลางย่านชิบูย่า ซึ่งในย่านชิบูย่าวันนั้นก็คือเหตุการณ์ที่กลุ่มตัวเอกทุกคนเห็นแสงของพุไฟบนท้องฟ้านั่นเอง และเมื่อเกิดแรงระเบิดครั้งใหญ่นี้ทำให้ทุกคนต่างบาดเจ็บสาหัสและหยุดหายใจในโลกแห่งความจริงไป 1 นาทีด้วยกัน และ 1 นาทีที่พวกเขาหยุดหายใจก็คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นในดินแดนมรณะนั่นเอง
 
ท้ายที่สุดเรื่องราวตัดมาที่โรงพยาบาลทุกคนต่างรักษาตัวจากการบาดเจ็บครั้งนี้ และพวกเขาสูญเสียความทรงจำทั้งหมดที่เกิดขึ้นในดินแดนมรณะทั้งหมด อะริสุ และ อุซางิ ได้เจอกันอีกครั้ง แต่เป็นการเจอกันที่พวกเขาจำกันไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แต่เหมือนเคยมีความสัมพันธ์บางอย่างที่ผูกพวกเขาไว้ด้วยกัน ทำให้ทั้งคู่ตัดสินใจทำความรู้จักกันอย่างเป็นทางการอีกครั้ง และเรื่องราวในดินแดนมรณะก็จบลง พร้อมกับการตอกย้ำว่า ชีวิตของคนเรามีค่าเสมอ ในเวลาที่มีชีวิตอยู่จงใช้ชีวิตให้ดีที่สุด เพราะท้ายที่สุดแล้วเราไม่รู้ว่าจะตายวันไหน ฉะนั้นแล้วในวันที่มีชีวิตจงทำทุกนาทีให้มีค่าซะ  
และนี่ก็คือสปอยทั้งหมดของ Alice In Borderland Season 2