
ความรู้สึกหลังรับชมแสงกระสือ 2
ต้องบอกกันตามตรงว่า แสงกระสือ 2 เป็นผลงานที่มีทั้งส่วนดีและส่วนที่ต้องปรับปรุงพอสมควรสำหรับเรื่องนี้ในแง่เป็นภาคต่อของหนังม้ามืดในปี 2019 ที่เคยทำออกมาได้ดีมากๆ ขอพูดถึงส่วนที่ดีของเรื่องนี้กันก่อน สำหรับแสงกระสือ 2 ยังคงเล่นกับประเด็นของความรักต่างสายพันธุ์และพูดถึงเหล่าบุคคลที่เหมือนตัวประหลาดในสังคมภาคนี้เราได้เห็นความแปลกประหลาดเพิ่มขึ้นจากภาคแรกที่มีแค่เพียงสายพันธุ์กระสือ แต่ในภาคนี้จะเสริมบทของพระเอกอย่าง คล้าว ที่เกิดมาพร้อมความผิดปกติที่มีผิวเผือก สำหรับคนในช่วงยุคนั้นจึงถูกมองว่าเขาเป็นเหมือนตัวประหลาดและ สาว ที่ต้องใช้ชีวิตอย่างหลบๆ ซ่อนๆ เพื่อรักษาอาการเป็นกระสือ พาร์ทของส่วนนี้จึงเน้นไปที่ความดราม่า โรแมนติกที่หนังพยายามปูให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของสองตัวละครนี้ตั้งแต่เด็กจนปัจจุบันว่าทั้งสองผ่านอะไรกันมาและหลงรักกันได้อย่างไร กับความรักที่ผิดแปลกจากคนปกติ ในยุคนั้นคนส่วนใหญ่จะรังเกียจคนที่แตกต่างจากตนและหนังยังคงพยายามรับไม้ต่อหัวใจของเรื่องราวนี้จากภาคแรกมาพัฒนาแก่นที่จะสื่อถึงคนดูให้เพิ่มมากขึ้น

และอีกส่วนที่น่าชื่นชมคือการพัฒนาบทของตัวละคร น้อย จากภาคแรกที่ได้พี่น้อย วงพรู มารับบทนี้ มันทำให้เราได้เห็นพัฒนาการของตัวละครเพราะถ้าใครดูภาคแรกจะรู้ว่าบทบาทของ น้อย ในภาคที่แล้วค่อนข้างจะเจอเรื่องราวหนักหน่วงทั้งรักแรกของเขาอย่าง สาย ที่มีเชื้อกระสือจนเขาทุ่มเทหาวิธีรักษาแต่ก็ไม่สามารถช่วยสายไว้ได้ จนมาถึง สาว ลูกสาวที่ได้รับเชื้อกระสือมาตั้งแต่กำเนิด รวมถึง ดาริน ภรรยาผู้ตายจากไป ทำให้เขาต้องกลายเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยวหาทางรักษาอาการไม่ให้เชื้อกระสือของสาวแผงฤทธิ์ น้อยในภาคนี้จึงทำให้เราได้เห็นถึงความรักความอบอุ่นของชายที่เติบโตมากับปมในจิตใจกลายเป็นพ่อที่รักลูกสาวมาก พร้อมจะปกป้องและหาวิธีรักษาลูกสาวของตัวเองให้สามารถกลับมาเป็นคนปกติให้ได้ บทบาทนี้เมื่อได้ พี่น้อย วงพรูมาแสดงการสื่อสารยิ่งลึกและมีมิติเพิ่มกว่าเดิม เรียกว่าเป็นบทบาทที่ประคองหนังเรื่องนี้ไว้ได้ดีตลอดทั้งเรื่อง เราค่อนข้างชื่นชอบพาร์ทความรักพ่อลูกมากกว่าพาร์ทโรแมนติกของพระนางด้วยซ้ำ

เราจึงได้เห็นพัฒนาการของตัวสัตว์ประหลาดทั้งสองสายพันธุ์ที่มีความดุร้ายและมีสัญชาตญาณของสัตว์มากกว่าภาคแรกที่แม้จะกลายร่างก็ยังควบคุมสติได้อยู่ ซีนกลายร่างในภาคนี้จึงทำออกมาได้โดดเด่นกว่าภาคแรก ที่ดีไซน์ออกมาให้เห็นความเจ็บปวดทรมานเหมือนการติดเชื้อโรคร้าย และแม้จะควบคุมมันหรือกินยาระงับอาการก็ไม่สามารถช่วยลดและรักษาอาการเหล่านี้ได้ เรื่องนี้จึงเน้นขายความเป็นมอนสเตอร์มากกว่าหนังผีสยองขวัญ ซึ่งจริงๆแล้ว แสงกระสือ แม้จะเอาตำนานผีไทยมาใช้แต่ก็ไม่ได้จะทำออกมาในทิศทางของหนังผีสยองขวัญ เพราะไอเดียตั้งต้นนั้นทีมสร้างตั้งใจทำให้เป็นแนวทางสัตว์ประหลาดอยู่แล้ว จึงไม่ต้องห่วงเรื่องจะมีฉากจัมสแกร์ให้ตกใจ

ที่เล่ามานั้นคือส่วนดีสำหรับไอเดียการทำภาคต่อเน้นสร้างความแปลกใหม่ แต่ขณะเดียวกันก็เป็นเหมือนดาบสองคม เมื่อการทำภาคต่อของผลงานที่มันดีอยู่แล้วถ้าไม่ดีเทียบเท่าหรือดีกว่าจะต้องมีรับผลการเกิดข้อเปรียบเทียบอย่างแน่นอนไม่เว้นแม้แต่เรื่องนี้ แม้จะขายไอเดียความแปลกใหม่ได้น่าสนใจ แต่สิ่งที่ขาดไปและสำคัญที่สุดคือ เสน่ห์ของเรื่องนี้ หนังไม่สามารถทำออกมาได้ดีเหมือนภาคแรก แม้จะปูเรื่องให้เรามีอารมณ์ร่วมกับตัวละครแต่เรากลับไม่สามารถอินกับตัวละครในเรื่องนี้ได้เท่ากับภาคแรกและตลอดเวลาการปูเนื้อหาของภาคนี้มันไม่สามารถบิ้วเราให้ตื่นเต้นแต่ทำออกมาได้เอื่อยบวกกับน่าเบื่อ และการดำเนินเรื่องที่ซ้อนกันหลายตัวละครจนยุ่งเหยิง ส่งผลให้ช่วงท้ายเรื่องเกิดปัญหาที่ไม่สามารถหาทางลงให้ตัวละครจบได้แบบดีเลยสักตัว แม้จะได้ พี่น้อย วงพรูมาช่วยผยุงหนังไว้เกือบทั้งเรื่องก็ไม่สามารถพาหนังไปสู่จุดที่ดีได้

แสงกระสือ 2 เข้าฉาย 30 มีนาคมนี้ (มีฉากท้ายเครดิต 1 ตัว แต่ไม่ได้ส่งผลว่าจะมีการทำภาคต่ออีกหรือไม่)