ทีม SPACEBAR ได้มีโอกาสร่วมชมในรอบเพรสที่จัดขึ้นเมื่อคืนวันที่ 29 พฤษภาคมที่ผ่านมา ขอการันตีเลยว่า นี้คือหนังในจักรวาลไอ้แมงมุมที่ติดในท็อปลิสต์ว่าดีงามจริงๆ ทั้งงานภาพและเนื้อหา


รีวิวหลังชม Spider Man: Across the Spider Verse
ไม่อยากจะคิดว่านี้เป็นแค่แอนิเมชันของจักรวาลไอ้แมงมุม แต่นี้คือหนังที่จะติดอยู่ในท็อปลิสต์จากทั้งจักรวาลมาเวลและสไปเดอร์-แมนที่คุณจะต้องประทับใจแบบเต็มอิ่มแน่นอน จากส่วนตัวที่เคยเอนจอยกับภาคแรกอย่าง Into to Spiderverse ภาคนี้ทีมสร้างดันกราฟขึ้นไปอีกขั้นทั้งงานภาพและเนื้อหา และการทิ้งปมส่งท้ายภาคต่อแบบจุกๆ จนคนดูโอดครวญหาภาคต่อ เพราะแค่พาร์ทแรกก็ยิ่งใหญ่ขนาดนี้แล้ว (Spider Man: Across the Spider Verse จะมีสองพาร์ท โดยภาคต่ออย่าง Spider-Man: Beyond the Spider-Verse มีกำหนดฉายในปี 2024)
เนื้อหาที่ยิ่งใหญ่และเติบโตขึ้นกว่าเดิม
หลังจากภาคที่แล้วเนื้อหาจะโฟกัสไปที่การเป็นสไปเดอร์-แมนของไมล์ และมีเหล่าสไปดี้จากจักรวาลอื่นๆ มาเสริม แต่ในภาคนี้เราจะได้เห็นปูมหลังของตัวละครอย่าง สไปเดอร์-เกว็น จากอีกจักรวาลก่อนที่จะเจอไมล์ ว่าเธอมีปมในชีวิตและเคยผ่านเรื่องราวสุดรันทดมาแค่ไหน (แฟนๆ สไปดี้จะรู้ว่าฮีโร่ตัวนี้ค่อนข้างจะมีประวัติน่ารันทดแทบทุกจักรวาล) ก่อนจะมีเหตุให้เธอต้องเข้าร่วมกับกลุ่มของสภาสไปเดอร์-แมนที่มี มิเกล โอฮาร่าหรือ สไปเดอร์-แมน 2099 เป็นคนก่อตั้งเพราะการกำเนิดที่ผิดแปลกของไมส์ ที่กลายมาสไปเดอร์-แมนแต่ในความเป็นจริงเหตุการณ์นี้มันไม่ควรเกิดขึ้น เธอเลยโดนส่งมาเจอไมล์ เพื่อทำภารกิจอีกครั้งในส่วนของไมล์ ในภาคนี้จะเติบโตมากขึ้นเรียนรู้การใช้ชีวิตสำหรับเป็นฮีโร่อย่างสไปเดอร์-แมน แต่ก็แลกมากับการที่เขาไม่ลงรอยกับทั้งพ่อและแม่ที่ไม่เข้าใจว่ามีเรื่องหรือความลับบ้างอย่างที่เขาไม่สามารถพูดกับครอบครัวให้รับรู้อีกตัวตนของเขาได้ และการที่เขาต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับสภาสไปเดอร์-แมน ก็ยิ่งทำให้เขาเจอโจทย์สุดยิ่งใหญ่ในชีวิตที่ต้องเลือกระหว่างปกป้องคนที่ตัวเองรักหรือจักรวาลใบนี้ไว้
พอยต์หลักในเรื่องนี้จึงมีความดราม่ามากกว่าภาคแรก ที่จะโฟกัสไปที่การเลือกเส้นทางของสไปดี้แต่ละจักรวาลที่ทำให้เกิดปมในใจที่ส่งผลต่อชีวิตการเป็นฮีโร่ของพวกเขา

งานภาพดีงามที่ถูกพัฒนาและดันเพดานมาตรฐานในสูงยิ่งกว่าเดิม
สิ่งหนึ่งที่ โซนี่ แอนิเมชันทำดีมาตลอดคือการเนรมิตภาพได้แปลกใหม่แปลกตา แต่สวยงามอย่างไร้ที่ติ ในภาคแรกหลายคนชมเรื่องนี้ไปแล้ว แต่ภาคนี้ทีมสร้างก็ไม่ทำให้เราผิดหวัง แถมปล่อยพลังแบบดันสุดในทุกด้าน เพราะทุกซีนที่แบ่งพาร์ทของสไปดี้แต่ละจักรวาล เราจะเห็นข้อแตกต่างของงานภาพแต่ละตัวละครแบบเด่นชัดเป็นของตัวเอง แต่เมื่อถึงจุดที่ต้องมาร่วมเฟรมเดียวกันก็ยังสามารถวางเลเอาต์ของตัวละครแต่คนที่งานภาพค่อนข้างต่างกันแบบชัดเจนให้มาอยู่ในซีนเดียวกันแบบไม่ขัดตรา ภาคแรกมีไม่กี่คน ภาคนี้ยอมใจทีมงานมากๆ เพราะการวาดตัวละครสไปดี้เกือบ 200 กว่าตัวให้มีความแตกต่างกันถือว่าเป็นงานหินสุด แต่ผลที่ออกมาคือดีงามจริงๆ ตอนดูคือแทบไม่อยากกระพริบตา
งานแอ็กชันบวกเซอร์ไพรส์และอีสเตอร์เอ้กแบบจุกๆ
ภาคแรกอาจจะไม่โดดเด่นในส่วนของซีนแอ็กชัน แต่ภาคนี้อัดซีนบู๊สวยๆ มาไว้ให้ตั้งแต่ต้นเรื่องการปรากฎตัวของ มิเกล โอฮาล่า ที่ต่อสู้กับวัลเจอร์จากอีกจักรวาลก็พาคนดูกรี๊ดแตกตั้งแต่ต้นเรื่อง รวมไปถึงการข้ามจักรวาลไปเจอกับสไปเดอร์-แมนของฝั่งอินเดีย ที่รวมตัวกันช่วยทำภารกิจพร้อมการมาถึงของสไปเดอร์พังค์ ก็ยิ่งเพิ่มดีกรีความเดือดเข้าไปอีก ส่วนของอีสเตอร์เอ้กถ้าคุณเคยกรี๊ดหรือฮือฮากันมาแล้วในภาค No Way Home เตรียมใจให้ดีเพราะถ้าคุณเป็นแฟนสไปดี้ เรื่องนี้จะทำให้คุณเสียงหายหลังดูจบแน่นอน หลบสปอยให้ดีเพราะเขาปล่อยของเยอะมากๆ
ตัวร้ายที่โหดกว่ารูปลักษณ์ที่เราเห็น
อีกส่วนที่ถือว่าเก็บไว้และรอปล่อยในหนังเต็มแบบที่ทำคนดูอึ้งคือตัวร้ายของเรื่องนี้อย่าง เดอะ สปอต หรือ ดร.โจนาธาน โอห์น ที่ปรากฏตัวครั้งแรกในหนังสือการ์ตูน Peter Parker, The Spectacular Spider-Man no. 98 (มกราคม ปี 1985) ที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยอัล มิลกรอมและเฮิร์บ ทริมป์ ในสไปเดอร์-เวิร์ส เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ทำงานให้กับคิงพิน แต่เขาใช้สสารมืดในการสร้างประตูไปสู่โลกต่างๆ อุบัติเหตุที่เกิดจากการปะทะกันของอนุภาคทำให้เขาได้รับความสามารถในการสร้างและเปิดประตูต่างมิติและเขาก็ยังใช้ประตูเล็กๆ ในการย่นระยะเวลาการเดินทางและก่ออาชญากรรมด้วย
การที่ไม่ปล่อยให้เราเห็นตัวร้ายตัวนี้ในตัวอย่างให้เห็นเหมือนตัวร้ายที่ไร้ฝีมือ พอถึงจุดโชว์ของความโหดของตัวนี้ คือตัวร้ายที่โหดระดับเดียวทานอส หรือแคง ผู้พิชิต ทำคนดูตะลึงกับความโหดของวายร้ายจากช่วงต้นเรื่องที่ดูติงต๊อง

ข้อติข้อเดียวที่มีในเรื่องนี้คือ จบแบบนี้ พี่ควรเอาภาคต่อมาให้เร็วที่สุด เพราะคนดูตั้งตารอ
(เอนเครดิตไม่มี รอภาคต่อกันปีหน้าได้เลยครับ)