ในอดีต ตำนานและความเชื่อของมนุษย์จะเชื่อมโยงความศักดิ์สิทธิ์เข้ากับธรรมชาติเสมอ เพราะวิถีชีวิตมนุษย์ ไม่ว่าจะกินหรืออยู่ ล้วนอิงอาศัยกับธรรมชาติอย่างแนบแน่น
มนุษย์ยุคก่อนจึงเคารพและยำเกรงธรรมชาติกันมาก โดยเชื่อว่ามีวิญญาณสถิตย์อยู่รอบตัวในต้นไม้และป่าเขา อย่างคนอุษาคเนย์ (เอเชียตะวันออกเฉียงใต้) โบราณ จะตัดต้นไม้ต้นหนึ่งหรือทำสิ่งใดที่กระทบกับต้นไม้ ก็จะต้องสักการะขอขมาก่อนเสมอ

‘รุทรักษะ’ เมล็ดศักดิ์สิทธิ์ที่พราหมณ์นำมาร้อยเป็นประคำหรือกำไล ก็มีที่มาจากตำนานความศักดิ์สิทธิ์และธรรมชาติที่เชื่อมโยงถึงเทพเจ้าสูงสุดในทำนองเดียวกัน
ตำนาน ‘รุทรักษะ’ น้ำตาของพระศิวะ

ตำนานกล่าวไว้ว่า ครั้งหนึ่งขณะที่พระศิวะทรงทำสมาธิ พระองค์ได้เปิดโลกญาณของพระองค์ แล้วทรงเห็นความทุกข์ยากลำบากของชีวิตมนุษย์ ด้วยความเวทนาในชะตากรรมของมนุษย์ ทำให้น้ำพระอัสสุชลหรือ ‘น้ำตา’ ของพระศิวะไหลออกมาแล้วหยดลงบนพื้นโลก บังเกิดเป็นต้นไม้ขึ้น
พระศิวะจึงได้อำนวยพรให้กับต้นไม้ที่กำเนิดนั้น เป็นต้นไม้มงคล ตั้งชื่อให้ว่า ‘รุทรักษะ’ เพื่ออำนวยพรให้แก่มนุษย์ที่ได้นำเมล็ดรุทรักษะไปประดับ หรือสวมใส่ด้วยความเคารพรักและสวดบูชาอยู่เป็นนิจ
“โอม นะมะห์ ศิวายะ”
— คาถาสวดบูชารุทรักษะ

สวมใส่ ‘รุทรักษะ’ รับพรและเมตตาจากพระศิวะ
ตามความเชื่อว่ากันว่า เมื่อนำเมล็ดรุทรักษะมาร้อยสร้อยสวมใส่ จะไม่มีไสยเวทย์ ภูตผี วิญญาณร้ายมารบกวนหรือรังควาญ
เมื่อเสียชีวิตลงผู้สวมใส่รุทรักษะจะไม่ต้องได้รับการจับกุมโดยยมทูต เพื่อไปรับโทษในนรก
หากป่วยเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายเด็ดขาด คนผู้นั้นจะกลับฟื้นคืนแข็งแรง หากมีเรื่องเสียใจหรือเศร้าหมอง รุทรักษะจะช่วยให้ผ่านพ้นเรื่องทุกข์ใจไปได้
เพราะใครที่สวมใส่เมล็ดรุทรักษะจะได้รับความเมตตาจากพระศิวะ ช่วยให้ชีวิตสดใส มีความผาสุขร่ำรวย เป็นอิสระจากบาปทั้งปวง

สวมใส่ ‘รุทรักษะ’ รับพรและเมตตาจากพระศิวะ
รุทรักษะเป็นคำเรียก “หิน” หรือ “เมล็ดตากแห้ง” จากพืชสกุล Elaeocarpus โดยเฉพาะสปีซีส์ Elaeocarpus ganitrus (ต้นรุทรักษะ) นำมาใช้เป็นลูกประคำสวดภาวนาในศาสนาฮินดู โดยเฉพาะในลัทธิไศวะ ตรงเมล็ดจะมีรอยแบ่ง (กลีบย่อยหรือ “หน้า”) เป็นเส้นร่องแนวตั้งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติบนเมล็ด ซึ่งจำนวน “หน้า” ที่แตกต่างกัน หมายถึงเทพเจ้าแต่ละองค์

- รุทรักษะ 1 หน้า 2 หน้า 5 หน้า หมายถึง “พระศิวะ” ใครมีไว้จะช่วยเพิ่มสติ สมาธิ รวมถึงความรู้สึกนึกคิดจิตใจ เพิ่มมุมมองต่อโลกกว้าง และช่วยให้ผู้สวมใส่มีความสุข และรู้สึกสบาย อย่างไม่ยึดติด
- รุทรักษะ 3 หน้า หมายถึง “พระตรีมูรติ” ช่วยให้มีความรู้สึกหลุดพ้นจากความรู้สึกผิด หรือบาป รู้สึกผ่อนคลายจากความกังวล หรือความรู้สึกทุกข์ทรมานจากความนึกคิดที่ซับซ้อนภายในจิตใจ ทั้งความกลัว ความรู้สึกผิด และความเศร้าสร้อย ช่วยขจัดปัญหา นำมาซึ่งความราบรื่น
- รุทรักษะ 4 หน้า หมายถึง “พระพรหม” ช่วยเพิ่มพลัง การสร้างสรรค์ สิ่งต่าง ๆ ช่วยเพิ่มสติปัญญา และความจำเป็นเลิศ เหมาะสำหรับผู้นำ และผู้ที่กำลังศึกษา ช่วยให้เรียนเก่ง ฉลาด ปราดเปรื่อง
- รุทรักษะ 8 หน้า หมายถึง “พระคเณศ” ช่วยขจัดอุปสรรค และนำมาซึ่งความสำเร็จในทุก ๆ เรื่อง เพิ่มความก้าวหน้า
- รุทรักษะ 10 หน้า หมายถึง “พระนารายณ์” นำมาซึ่งความรุ่งเรืองในทิศทั้งสิบ ช่วยปกป้องคุ้มครอง และขจัดสิ่งที่ไม่ดี ทำลายอำนาจมืด และช่วยให้เจริญรุ่งเรือง

การหารุทรักษะมาบูชาควรศึกษาหาข้อมูล และเช่าบูชาจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ เพื่อจะได้รุทรักษะที่เป็นของแท้ของจริง (ไม่ถูกหลอกย้อมแมว เพราะดันหลงซื้อผลมะเดื่อตากแห้ง)
หรือถ้าจะบูชาให้ง่ายและตรงกว่านั้น อาจเริ่มจากการให้ความเคารพและยำเกรงต่อธรรมชาติ ใช้ทรัพยากรทุกสิ่งอย่างรู้ค่า เพราะทุกสิ่งที่เราได้มา ล้วนหยิบยืมมาจากธรรมชาติทั้งสิ้น
อย่าให้ความรักเป็นแค่ลมปาก หรือความเชื่อที่เห็นแก่ตัว เพราะวันนี้ โลกยิ่งร้อน เสียง ‘ความยั่งยืน’ ยิ่งดัง แต่เสียงที่ดังดูจะเป็นแค่การฟอกเขียว มากกว่าจะมาจากใจจริง

อย่างน้อยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในการประชุมระดับโลก เกาะติดวิกฤตโลกรวนกับเรื่องป่วนๆ ใน COP29 ที่ทำโลกร้อนๆ หนาวๆ ก็เปลือยความจริงให้เราเห็น
ผู้นำโลกส่วนใหญ่ยังคงให้ราคากับเงินตรา มากกว่าคุณค่าจากธรรมชาติที่เป็นพรจากพระเจ้า