สัมภาษณ์พิเศษ MOLON ศิลปินป๊อปพังก์วงน้องใหม่จากค่าย Tero Music

7 ก.ค. 2567 - 08:00

  • ‘MOLON’ ศิลปินวงป๊อปพังก์หน้าใหม่ที่พร้อมเขย่าวงการเพลงไทยให้สั่นสะเทือน วงดนตรีน้องใหม่จากค่าย Tero Music ที่ได้พี่ๆ Bedroom Audio มาช่วยโปรดิวซ์เพลงต่างๆ ให้

exclusive-interview-molon-band-SPACEBAR-Hero.jpg

เป็นอีกหนึ่งวงดนตรีน้องใหม่จากค่าย Tero Music ที่ตอนนี้กำลังมาแรงมากๆ เป็นวงแรกที่ได้พี่ๆ Bedroom Audio มาช่วยโปรดิวซ์เพลงต่างๆ ให้ด้วย ถึงขนาดที่พี่ๆ เรียกตัวเองว่าพ่อและเรียกหนุ่มๆ วงนี้ว่าลูกเลยทีเดียว จากนี้คือบทสัมภาษณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟของ Spacebar VIBE และหนุ่มๆ MOLON 

‘MOLON’ (โมลอน) ศิลปินวงป๊อปพังก์หน้าใหม่ที่พร้อมเขย่าวงการเพลงไทยให้สั่นสะเทือน ประกอบด้วยสมาชิกทั้งหมดสี่คนด้วยกัน คือ เทค-ธราชัย วงศ์พัฒนานิกร (นักร้องนำ), เจ-ภาวศุภธิ์ คล้ายวงทอง (กีต้าร์), กิจ-กฤษฏิ์ แจ้งกระจ่าง (เบส) และ มีน-บดี วรรคาวิสันต์ (กลอง) สำหรับแนวเพลงของวง MOLON เป็นการผสมผสานแนวดนตรีป๊อปและพังก์เข้าด้วยกัน หรือเรียกได้ว่าเป็นแนวเพลงป๊อปที่มีกลิ่นอายความพังก์พร้อมดนตรีหนักๆ ที่เข้ากันได้อย่างลงตัว

exclusive-interview-molon-band-SPACEBAR-Photo01.jpg

เมื่อถามถึงที่มาที่ไปของชื่อวง เทค ได้เล่าว่า ในตอนที่เขาเรียนวิชาภาษาอังกฤษ อาจารย์มักจะพูดถึงประธานาธิบดีของสหรัฐฯ คนเก่าอยู่บ่อยๆ แล้วท่านประธานาธิบดีของสหรัฐฯ คนนี้เขาชอบพูดคำว่า ‘moron’ ออกสื่ออยู่บ่อยครั้ง ถึงแม้ว่ามันจะเป็นคำที่มีความหมายไม่ดี แต่เขากลับรู้สึกว่าคำนี้แหละใช่เลย มันเข้ากับคาแรกเตอร์ของวงพังก์ ดูดุเดือดสะใจ เลยหยิบมาเปลี่ยนตัว R เป็นตัว L แทน จึงกลายเป็นคำว่า MOLON 

เทค นักร้องนำของวงเป็นผู้จุดประกายความฝัน และรวบรวมเพื่อนๆ ทั้งหมดมาทำวงดนตรีด้วยกัน เทค มีน และกิจ เป็นเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยเดียวกัน โดยกิจเป็นรุ่นน้อง ส่วนเจเป็นเพื่อนกับเทคในช่วงเรียนมัยธม ที่มาที่ไปของแต่ละคนเทคเล่าว่า “ผมเป็นคนรวบรวมทุกคน ก็คือจริงๆ แล้วมีนกับผมเรียนวิชาเดียวกันสมัยมหาวิทยาลัย ด้วยความที่เป็นคนที่เนิร์ดด้านดนตรีมากๆ เลยชอบถามคนนู้นคนนี้ว่าชอบฟังเพลงแนวไหน เล่นดนตรีไหม แล้วพอได้คุยกับมีน เขาบอกว่าเขาเล่นกลอง ก็เลยชวนมาทำวงด้วยกัน ส่วนกิจผมได้มีโอกาสชักชวนตอนไปถ่ายหนังกับน้องที่มหาวิทยาลัย แต่กิจเขาเล่นตัว ผมชวนตั้งแต่ผมเรียนปี 3 แต่เขามาตอบรับตอนผมเรียนจบแล้ว ส่วนเจ เรารู้จักกันตั้งแต่สมัยมัธยมเพราะเรียนมาด้วยกันที่ชลบุรี แล้วผมเห็นเขาชอบโพสต์คลิปคัฟเวอร์เพลงนู้นเพลงนี้ลงโซเชียลเลยไปชวนมาร่วมวงด้วย”

exclusive-interview-molon-band-SPACEBAR-Photo02.jpg

เพลงแรกของวง MOLON ที่ปล่อยออกมาคือเพลง ‘ดินแดง’ เป็นเพลงที่มีกลิ่นอายของมิตรภาพ ความฝัน เล่าถึงเป้าหมายของกลุ่มเพื่อนที่มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน ที่มาที่ไปของชื่อเพลงก็มาจากย่านหนึ่งในกรุงเทพฯ ที่พวกเขาได้นัดรวมตัวเพื่อซ้อมด้วยกันครั้งแรก ความพีคที่หนุ่มๆ แอบเม้าท์มาคือ กิจ ขับรถจักรยานยนต์มาจากบ้านที่จังหวัดลพบุรีเพื่อมาซ้อมครั้งแรกกับพี่ๆ ในวง เป็นอะไรที่ทุ่มเททั้งกายและใจ แต่แฝงไปด้วยความอันตรายที่พี่ๆ ในวงก็พากันเตือนอยู่บ่อยครั้ง

exclusive-interview-molon-band-SPACEBAR-Photo03.jpg

เพลงต่อมาเป็นเพลงล่าสุด นับเป็นซิงเกิลที่ 2 ของวง MOLON กับเพลง ‘เงื่อนตาย’ เป็นเพลงที่พลิกอารมณ์จากเพลงแรกที่สดใสโดยสิ้นเชิง ในเพลงนี้ได้บอกเล่าถึงคนที่ยังไม่มูฟออนจากคนรักเก่าในอดีต ชื่อเพลงก็มีที่มาที่ไปอีกเช่นกัน โดยเทคเป็นเจ้าของไอเดีย เขาเล่าว่าในตอนนั้นเขาได้เดินทางไปเที่ยวทะเลกับเพื่อนๆ ในระหว่างช่วงที่ขับรถไปก็ได้พูดคุยกันถึงเรื่องค่ายลูกเสือในสมัยเด็ก และคุยกันถึงเรื่องการเรียนผูกเงื่อน จู่ๆ คำว่าเงื่อนตายก็มาติดอยู่ในหัว จนเอามานั่งคิดเทียบความรักกับเงื่อนตายและกลายมาเป็นเพลงที่เสียดแทงบาดลึกคนที่ยังไม่มูฟออนเพลงนี้ 

ทำเพลงรักมาสองเพลงแล้ว ทั้งในแบบมิตรภาพและแบบอกหักบาดหัวใจ เลยถามหนุ่มๆ ถึงมุมมองความรักและความเจ็บปวดที่เกิดจากความสัมพันธ์ ว่าแต่ละคนมีความคิดเห็นอย่างไร   

เทค: ความรักคือการให้และการยอมรับซึ่งกันและกัน เมื่อความรักเกิดขึ้นแล้วมันคือเรื่องของคนสองคนที่อยู่ด้วยกัน ต้องอยู่บนความบาลานซ์ ลดอีโก้ของแต่ละฝ่ายพร้อมปรับตัวเข้าหากัน ความเจ็บปวดกับความรักมันเป็นของที่อยู่คู่กัน เมื่อไรที่เราคิดว่าจะมีรัก เราต้องเตรียมตัวตั้งรับกับความเจ็บปวด เราต้องรับความเสี่ยงให้ได้ ไม่ใช่แค่เลิกกันแล้วเจ็บ บางทีตอนคบกันก็เจ็บเหมือนกัน  

เจ: สำหรับเจ รักคือการให้ ให้ความอบอุ่นความดูแลเอาใจใส่ มันเป็นพื้นฐานของความรัก ส่วนความเจ็บปวดจากความรัก เจมองว่ามันคือความกลัว กลัวความเสียใจ กลัวการเริ่มใหม่ กลัวเจ็บกับเหตุการณ์ที่จะซ้ำรอยกับที่ผ่านมา 

มีน: ความรักเหมือนชีวิต มนุษย์ทุกคนต้องอาศัยความรักในการดำเนินชีวิต เราเกิดมาจากความรัก เราต้องมีความรักจากครอบครัว จากเพื่อนฝูง จากคนรัก มนุษย์โลกถ้าอยู่โดยไม่มีความรักมันอยู่ไม่ได้หรอก พอมีความรักสิ่งที่ตามมาคือความผิดหวัง ความเจ็บปวด แต่ละคนจัดการกับความผิดหวังต่างกัน สำหรับผมความผิดหวังคือบทเรียน ถ้าเรามูฟออนได้ เราจะได้เห็นตัวเองในเวอร์ชั่นที่ดีกว่า อย่าจมอยู่กับตัวเองเพราะจะมูฟออนไม่ได้แล้วจะกลายเป็นเงื่อนตาย 

กิจ: รักคือความเข้าใจซึ่งกันและกัน ไม่ใช่แค่การตามใจ แต่คือการเข้าใจว่าเราเป็นแบบนั้น เขาเป็นแบบนี้ แล้วเราจะเข้าหากันด้วยวิธีไหน ่ความเจ็บปวดจากความรักมันเป็นเหมือนเพื่อนซี้ มันไม่เคยหายไป มันจะอยู่กับเราเสมอ ทุกครั้งที่เรานึกถึงความเจ็บที่ฝังใจ ไอ้เพื่อนซี้คนนี้แหละมันจะคอยโผล่หน้ามา มันคือบทเรียนที่ไม่มีวันจางหายไป

exclusive-interview-molon-band-SPACEBAR-Photo04.jpg

เมื่อพูดถึงผลงานเพลงที่ผ่านมาและเรื่องราวของความรักของแต่ละคน ในตอนนี้ทั้งสี่หนุ่มได้รับความรักอย่างล้นหลามจากพี่ๆ Bedroom Audio ที่ได้มาช่วยโปรดิวซ์เพลงให้ เราจึงถือโอกาสถามถึงที่มาที่ไปของมิตรภาพระหว่างพวกเขาว่ามาร่วมงานกันได้อย่างไร โดยหนุ่มๆ ก็ได้เล่าไว้ว่า 

จริงๆ แล้ว เทค เคยทำงานกับ Bedroom Audio ตั้งแต่เรียนจบใหม่ๆ เขาอยากไปเรียนรู้ระบบหลังบ้านต่างๆ อยากเป็น Technician แต่ทำได้งานเดียวก็ถูกบอกให้ไปเป็นคนดูแลศิลปิน แล้วในช่วงที่โควิด-19 กำลังระบาด จ๊อบและคิทได้ไปเปิด่ร้านกาแฟจนถึงจุดหนึ่งที่ไม่ได้ไปต่อแล้ว สองหนุ่มจาก Bedroom Audio มีแพลนจะไปเปิดห้องอัดเพลงแถวย่านรัชดา ปtเหมาะเคราะห์ดีเทคจึงไปบอกทั้งคู่ว่า ตัวเองก็มีวงดนตรีอยู่ ช่วยโปรดิวซ์ให้หน่อยได้ไหม นั่นคือจุดเริ่มต้นของทั้งสองวงที่มาดูแลกันและกันในฐานะศิลปินร่วมค่าย Tero Music 

ในส่วนของการทำงานด้วยกัน ทั้งสี่หนุ่มเล่าว่าแต่ละคนจะโดนพี่ๆ Bedroom Audio ประกบอยู่ตามเครื่องดนตรี โดนฝึกโดนสอน ในตอนแรกคิดว่าจะสื่อสารยากแต่จริงๆ ไม่ได้ยากอย่างที่คิด แต่ก็มีสิ่งที่ทำให้รู้สึกคัลเจอร์ช็อกเช่นกันในระบบของการจัดตารางการซ้อมการเล่นดนตรี ในตอนนั้นต่างก็ใหม่ทั้งคู่ทั้งหนุ่มๆ MOLON ที่เป็นศิลปินหน้าใหม่ และพี่ๆ Bedroom Audio ก็เพิ่งเคยโปรดิวซ์เพลงให้กับวงดนตรีครั้งแรก ทั้งสองฝ่ายจึงต้องเรียนรู้ควบคู่กันไปทั้งวงพี่และวงน้อง 

เมื่อพูดถึงมิตรภาพจากพี่ๆ Bedroom Audio แล้ว เราจึงขอให้สี่หนุ่มจับคู่อธิบายบุคลิกของกันและกันหลังจากที่ทำเพลงมาด้วยกันถึงสองเพลงแล้วว่าแต่ละคนรู้สึกอย่างไรกับเพื่อนบ้าง โดยแบ่งเป็นคู่ของ เทค-มีน และ เจ-กิจ โดยหนุ่มๆ ได้บอกว่า 

เทค: มีนเป็นคนเงียบๆ แต่ถ้าสนิทแล้วจะรู้สึกว่ามันต๊องๆ ขี้เล่น แต่เขามีเซฟโซนของเขาที่จะขีดเส้นไว้ว่าเราจะรู้เรื่องเขาได้มากแค่ไหน  

มีน: เทคเป็นคนติดเล่น เป็นเหมือนหัวหอกของวง มีเอเนอร์จีเยอะ ดูแล้วเป็นคนไม่ค่อยเหนื่อย เป็นคนที่เวลาไหนที่เพื่อนๆ ตกอยู่ในความเครียด เทคจะเป็นคนสร้างสีสันให้เพื่อนๆ  

กิจ: พี่เจเป็นคนที่มีความรับผิดชอบ ภายนอกอาจจะดูเงอะงะ แต่จริงๆ เป็นคนซีเรียสคนหนึ่ง ดูเป็นคนที่คิดอะไรตลอดเวลา ถ้าเขากำลังคิดอะไรอยู่แล้วเราไปชวนคุย เราก็จะได้รับคำสบถออกมา เป็นคนที่อยู่ดีๆ ก็พ่นเสียงประหลาดๆ ออกมา เช่น ฮ่อยย๊า ชอบทำ้บทสนทนาปกติให้ไม่ปกติ แบบนั่งๆ อยู่ก็ อุ๊ยสายสีม่วง ็ก็ส่วงสีหมาย เป็นคนที่ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ ชอบเป็นห่วงเพื่อนๆ แม้ว่าตัวเองจะลำบาก 

เจ: กิจเป็นคนที่เวลาทำงานจะเงียบ แต่ในหัวมีอะไรที่กำลังคิดตลอดเวลา เป็นคนที่มีเอเนอร์จีในการทำงานเยอะมาก ด้วยหลายๆ ความรับผิดชอบทั้งในวง ทั้งงานกราฟิก งานครีเอตคอนเทนต์ งานตัดต่อ และงานประจำของเขาเอง เป็นน้องคนเล็กที่น่ารักของวง คอยช่วยเหลือพี่ๆ ทุกอย่าง และชอบเป็นห่วงคนอื่นเสมอ

exclusive-interview-molon-band-SPACEBAR-Photo05.jpg

พูดถึงมิตรภาพระหว่างพี่ๆ และเพื่อนๆ ไปแล้ว เราจึงให้พวกเขาได้เล่าถึงความรู้สึกที่ได้ไปออก School Tour ตามโรงเรียนต่างๆ บ้าง ซึ่ง MOLON ได้ไปทำการแสดงให้น้องๆ ได้ดูถึงสามโรงเรียนด้วยกัน โดยพวกเขาเล่าว่า 

เทค: ตอนที่รู้ว่าต้องไป School Tour ตื่นเต้นมาก ต้องบอกก่อนว่าเคยทำงานอยู่เบื้องหลังมา ตอนที่ไปดูแลศิลปินผมรู้ว่าจำนวนคนมันเยอะขนาดไหน ผมกลัวที่จะไม่มีคนมาดูแต่พอไปเล่นจริงคนดูเยอะมาก แต่แทนที่ผมจะตื่นเต้นมากๆ กลับกลายเป็นผมสามารถคุมสติตัวเองได้ดี อันนี้เป็นสิ่งที่ผมก็ตกใจตัวเองอยู่เหมือนกัน ทำให้ผมรู้ว่ามีคนที่รอเราอยู่ คนที่เปิดใจที่จะฟังเรา ดูเรา สนุกไปกับเรา มันก็ทำให้ผมปลื้มเหมือนกัน 

เจ: การไป School Tour เป็นเหมือนการเติมเอเนอร์จีให้กับตัวเองเหมือนกัน ประหลาดใจมากที่เด็กเจนฯ ใหม่ที่ไม่เคยฟังเพลงแนวนี้กลับบอกว่าเราทำให้เขาอิ่มเอมหัวใจ บางคนร้องไม่เป็นก็เปิดเนื้อเพลงร้องตาม มันทำให้ใจฟู ขอบคุณน้องๆ ที่ให้โอกาสมากๆ เลย หลังจากที่เล่นเสร็จเราก็มีโอกาสได้รีเช็กตัวเองเพื่อที่จะได้ทำผลงานให้ดีขึ้นแล้วจะได้กลับไปเจอน้องๆ อีกครั้ง  

มีน: การขึ้น School Tour รู้สึกเหมือนได้ย้อนวัยเลย พอไปเล่นมันเหมือนได้กลับไปเล่นงานโรงเรียน ได้เชื่อมต่อความรู้สึกกับเด็กๆ อีกครั้ง ตลอดการแสดงมันไม่ได้รู้สึกถึงความเครียดหรือกดดัน มันเหมือนกับการเล่นดนตรีให้เพื่อนดูมากกว่า เราเล่นอะไรไปเด็กๆ ก็เอนจอยมากๆ สิ่งที่ประทับใจคือมีน้องๆ หลายคนเอาเครื่องดนตรีมาให้เซ็น มันรู้สึกดีมากๆ เหมือนน้องได้รับพลังบวกไปจากเรา ครั้งหนึ่งเราเคยมีแรงบันดาลใจจากศิลปินที่เป็นไอดอล แต่วันนี้เราได้เป็นไอดอลให้กับคนอื่น ผมโคตรรู้สึกภูมิใจ  

กิจ: การตอบรับจาก School Tour มันดีมากๆ ผมก็ยังแปลกใจว่าน้องๆ ยุคใหม่รู้จักเพลงแนวป๊อปพังก์เยอะมากเหมือนกัน ในตอนแรกก็กังวลว่าคนดูจะรู้จักเพลงเราไหม เขาจะฟังเรารู้เรื่องหรือเปล่า แต่พอเราได้ไปแสดงให้น้องๆ ดูจริงๆ ก็รู้สึกดี  น้องๆ เต้นกันทุกโรงเรียนเลย คำว่าป๊อปพังก์มันไม่ได้เข้าถึงยากขนาดนั้น มันดีมากจริงๆ ใน School Tour ครั้งนี้ 

สุดท้ายเราได้ขอให้หนุ่มๆ ฝากช่องทางการติดตามสำหรับใครที่อ่านบทสัมภาษณ์มาจนถึงตรงนี้แล้วเกิดตกหลุมรักหนุ่มๆ ทั้งสี่คนที่เต็มไปด้วยความฝันและมิตรภาพอันยิ่งใหญ่ หนุ่มๆ ก็ได้ฝากช่องทางการติดตามในโซเชียลมาด้วยไม่ว่าจะเป็น Instagram: https://www.instagram.com/molon_band Facebook: https://www.facebook.com/MOLONband TikTok: https://www.tiktok.com/@molonofficial และยังได้ฝากให้ทุกคนติดตามผลงานล่าสุดกับเพลง  ‘เงื่อนตาย’ ของพวกเขาไว้เป็นการทิ้งท้าย

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์