‘แก๊งหิมะเดือด’ ภาพยนตร์ที่ไม่ได้นำเสนอเพียงความโรแมนติไซส์ของเด็กในศูนย์ฝึกเยาวชน หากแต่เป็นการบอกเล่าเรื่องราวของการให้โอกาสเด็กๆ ที่ถูกมองว่าไม่สมควรได้รับในการโกอินเตอร์ถึงเมืองซัปโปโร ประเทศญี่ปุ่น ในฐานะตัวแทนทีมชาติไทยในการแข่งขันแกะสลักหิมะ
ภาพยนตร์เรื่องนี้เล่าถึงเยาวชนสี่คนที่ประกอบไปด้วย ‘แจ๊บ’ หัวหน้าทีมแกะสลักหิมะ ผู้ที่มีชื่อเสียงเรืองนามสุดๆ ในเรื่องของความดื้อรั้นและเป็นบุคคลอันตราย, ‘โจ’ ที่ก่อนจะมาร่วมทีมเขาคนนี้เคยเป็นศัตรูกับแจ๊บมาก่อนเนื่องจากโจเป็นหนึ่งในแก๊งเขี้ยวอินทรีย์หรือกลุ่มเด็กหัวโจกในศูนย์ฝึกเยาวชน แต่ด้วยฝีมือและพรสวรรค์ของโจทำให้เขาได้มาเข้าร่วมในทีมแกะสลักหิมะ, ‘ตูมตาม’ เพื่อนตัวโตประจำกลุ่ม และเป็นตัวเรียกเสียงฮาให้กับเพื่อนๆ และ ‘วิน’ บุคคลผู้มีความเฉลียวฉลาดที่สุดในแก๊งหิมะเดือด ทั้งสี่คนต่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว อาจจะดื้อไปบ้างหรืออาจจะมีปัญหาเข้ามาบ้าง แต่การเข้าร่วมทีมแกะสลักหิมะในครั้งนี้ก็ทำให้มิตรภาพดีๆ ก่อตัวขึ้น
ส่วนคุณครูที่มารับหน้าที่ฝึกสอนให้ทีม Frozen Hot Boys คือ ‘ครูชมพู’ (รับบทโดย แต้ว-ณฐพร เตมีรักษ์) ผู้มีความใฝ่ฝันอยากจะไปประเทศญี่ปุ่นสักครั้ง และมีความตั้งใจแน่วแน่ที่อยากผลักดันเด็กๆ ในทีมทุกคนให้ไปถึงระดับนานาชาติ โดยการไปญี่ปุ่นในครั้งนี้เธอมีเหตุผลบางอย่างแฝงอยู่ และ ‘ครูบอย’ (รับบทโดย ตาต้า-ชาติชาย ชินศรี) ที่เรียกได้ว่าในศูนย์ฝึกเยาวชนครูบอยนี่แหละที่สนิทกับครูชมพูมากที่สุด และครูคนนี้คือคนที่คอยเป็นคนซัพพอร์ตเด็กๆ ทุกคนเสมอมา
กลุ่มเด็กจากศูนย์ฝึกเยาวชนหลายๆ คนมักถูกมองข้ามและไม่ได้รับความเชื่อใจว่าพวกเขาจะสามารถกลับตัวเป็นคนดีได้ อีกทั้งภาพยนตร์เรื่องนี้ยังนำการแข่งขันแกะสลักหิมะมาเป็นแก่นของเรื่องในประเทศที่ไม่เคยมีหิมะตก แต่พวกเขาก็พร้อมที่จะท้าทายโอกาสที่ดูแล้วแทบจะเป็นไปไม่ได้เพื่อพิสูจน์ให้โลกได้เห็นว่าพวกเขาก็มีความสามารถ

ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเรื่องจริงของทีมแกะสลักหิมะทีมชาติไทยที่เคยคว้าชัยชนะในการแข่งขันที่เมืองซัปโปโรและฮาร์บินซึ่งทำให้เห็นถึงพรสวรรค์และความไม่ย่อท้อของนักแกะสลักหิมะชาวไทยจนก่อให้เกิดภาพยนตร์ดราม่าคอมเมดี้เรื่องนี้ขึ้นมา
การดำเนินเรื่องของภาพยนตร์แก๊งหิมะเดือดถือว่ากระชับไม่ยืดเยื้อ มีการบอกพื้นหลังเรื่องราวของเยาวชนทั้งสี่อย่างฉับไว อย่างที่บอกภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้นำเสนอด้านความโรแมนติไซส์ภายในศูนย์ฝึกเยาวชนที่สร้างภาพความโลกสวยว่าเข้าไปแล้วจะกลับกลายเป็นคนดีได้ในทันที หรือเยาวชนที่อยู่ในนั้นได้อยู่อย่างสุขสบาย เพราะคนที่กระทำผิดยังไงก็ต้องรับโทษไม่ทางใดก็ทางหนึ่งเป็นธรรมดา ข้อคิดที่ได้คือเด็กก็เหมือนกับผ้าขาว การที่เด็กคนหนึ่งทำผิดอาจจะขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมและครอบครัวด้วย
‘รัน-รัณญ์ สุขณรงค์’ ผู้ที่เรียกได้ว่าเป็นคนขายไอเดียของภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูล Fun Fact แก๊งหิมะเดือด ไว้ว่าในขั้นตอนเสนอขายไอเดียแก๊งหิมะเดือดตอนแรกจะทำเป็นซีรีส์โดยมี Mood and Tone จากซีรีส์เรื่อง Prison Playbook และ Racket Boys แต่พอถึงขั้นการพัฒนาเป็นภาพยนตร์นั้นทางผู้กำกับฯ และนักเขียนจึงร่วมกันเพิ่มกลิ่นอายการ์ตูนที่แต่ละคนชอบลงไปทั้งเรื่อง Slam Dunk, นารูโตะ และลูกสาวเจ้าพ่อขอเป็นครู อีกด้วย
อีกสิ่งหนึ่งที่หลายคนพูดถึงเมื่อดูภาพยนตร์เรื่องนี้จบคือ แต้ว-ณฐพร พูดคำหยาบ! ซึ่งการใช้คำพูดไม่สุภาพก็ไม่แปลกอะไรแต่ด้วยบุคลิกของครูชมพูกับแต้วแทบจะต่างกันอย่างสุดขั้ว แต่การแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้กลับเป็นธรรมชาติสุดๆ และนักแสดงหน้าใหม่ที่มารวมตัวกันในแก๊งหิมะเดือดนี้ก็สามารถทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น
สิ่งที่ประทับใจหลังจากดูจบคือภาพยนตร์เรื่องนี้ดีกว่าที่คิดไว้มากๆ ความคิดแรกหลังจากเห็นตัวอย่างภาพยนตร์และโปสเตอร์คาดว่าต้องเป็นภาพยนตร์ที่ฮีลใจแนว Feel Good แน่ๆ แต่พอดูไปถึงครึ่งเรื่องก็ทำให้รู้ได้เลยว่านี่มันหนังฮีลใจที่สอดแทรกมุกตลกไว้แทบจะตลอดทั้งเรื่อง สร้างเสียงฮาได้เป็นอย่างดี แต่พอถึงจุดดราม่าก็ถึงขั้นทำให้น้ำตาคลอได้เหมือนกัน ส่วนตัวประทับใจกับภาพยนตร์เรื่องนี้มาก อยากให้ทุกคนได้รับชมการพัฒนาของเด็กๆ แก๊งหิมะเดือดในการแข่งขันในระดับนานาชาติครั้งนี้

ใครที่ยังลังเลที่จะดูภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่ บอกได้เลยว่ากดดูเลยไม่ต้องรอแล้ว เพราะภาพยนตร์เรื่องนี้สนุกกว่าที่คิดจริงๆ เป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ไทยน้ำดีอีกเรื่องหนึ่งเลยก็ว่าได้ ภาพยนตร์ที่ไม่ได้วาดภาพสวยหรูในศูนย์ฝึกเยาวชนแต่เป็นการเปิดมุมมองให้เราได้เห็นถึงการให้โอกาสแก่เด็กๆ ที่ถูกมองข้าม ไม่ใช่ภาพยนตร์ดราม่าที่ดึงความน่าสงสารของผู้กระทำผิดออกมาให้เราได้เห็นแต่เป็นภาพยนตร์ที่ทำให้เราได้เห็นถึงผลของการกระทำของแต่ละคนมากกว่า
สามารถรับชมการแข่งขันแกะสลักอันยิ่งใหญ่ของแก๊งหิมะเดือดได้แล้วทาง Netflix เท่านั้น!