เส้นแบ่งแห่งขนบธรรมเนียมค่อยๆ เลือนหาย เมื่อความหลากหลายเข้ามาแทนที่ ทุกวันนี้จะเห็นว่าการแต่งกายหรือการแสดงออกที่มีความลื่นไหลทางเพศเริ่มได้รับการยอมรับมากขึ้นในหลายประเทศ อย่างวัฒนธรรม แดร็ก (Drag) ที่กำลังเฉิดฉายในสื่อกระแสหลัก
หากพูดถึงแดร็ก เชื่อว่าคนส่วนใหญ่จะนึกถึง แดร็กควีน (Drag Queen) ผู้ที่ทำการแสดง เต้น หรือร้องเพลง ด้วยท่าทางและอัตลักษณ์ของผู้หญิง อาจสวมชุดกระโปรง รองเท้าส้นสูง และแต่งหน้าแบบสุดปัง ทั้งนี้ก็ยังมีข้อถกเถียงกันว่าใครสามารถเป็นแดร็กควีนได้บ้าง ซึ่งข้อสรุปที่ครอบคลุมที่สุดก็คือไม่ว่าเพศอะไรก็สามารถเป็นแดร็กควีนได้ทั้งนั้น

แต่นอกจากแดร็กควีนแล้ว เรายังมี ‘แดร็กคิง’ (Drag King) คือการที่ผู้หญิง เควียร์ คนที่เป็นนอนไบนารี ฯลฯ แต่งตัว แต่งหน้า และทำการแสดงเป็นชาย ซึ่งความจริงแดร็กคิงมีมานานมากตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 ตัวอย่างเช่น แอนนี่ ฮินเดิล (Annie Hindle) นักแสดงหญิงที่รับบทบาทเป็นชายในละครเวที

ทั้งนี้เมื่อเทียบกับแดร็กควีนแล้ว ‘แดร็กคิง’ ยังไม่ค่อยมีคนรู้จักหรือสนใจมากนัก ยิ่งสมัยก่อนการจะดูโชว์แดร็กคิงนั้นต้องไปเสาะหาในบาร์ใต้ดินตอนกลางคืน และโดยมากมักได้ทิปน้อยกว่าแดร็กควีน ทั้งๆ ที่พวกเขาเองก็ทุ่มเทกับการแสดง แต่งหน้าอย่างประณีต และแต่งตัวอย่างตั้งใจ
หลายคนให้ความเห็นว่าการที่ ‘แดร็กคิง’ ไม่เป็นที่นิยมและไม่ได้รับการสนับสนุนมากเท่าแดร็กควีน เป็นเพราะการที่ผู้หญิงสวมสูท ใส่กางเกง ไม่ได้ดูแปลกหรือน่าตื่นเต้นเท่าผู้ชายใส่กระโปรง อีกทั้งการแสดงออกถึงความเป็นชายไม่ได้น่าดึงดูดเท่าการแสดงออกถึงความเป็นหญิง

อย่างไรก็ตาม แดร็กคิง หรือการแต่งกาย/แสดงออกเป็นชายก็มีให้เห็นผ่านสื่อต่างๆ เสมอมา เช่น Sex And the City ซีรีส์ดังในปี 2000 หรือ มู่หลาน (Mulan) แอนิเมชันชื่อดังที่หลายคนอาจลืมนึกไปว่าตัวเอกของเรื่องก็แต่งชายเช่นกัน
สุดท้ายแล้วการแสดงออกซึ่งอัตลักษณ์ของแต่ละคนก็แตกต่างกันไป และเมื่อเกิดการแหกขนบขึ้น กรอบต่างๆ ก็จะถูกตั้งคำถาม กระทั่งถูกทำลายให้กลายเป็นความหลากหลาย
รูพอล อองเดร ชาร์ลส์ (RuPaul Andre Charles) เจ้าแห่งวงการแดร็ก เคยกล่าวประโยคสุดทรงพลังไว้ว่า
“เราต่างเกิดมาเปลือยเปล่า นอกเหนือจากนั้นคือการแดร็ก”