การชูนิ้วกลางเป็นสัญลักษณ์แทนคำด่าที่เราเห็นผ่านสื่อต่างๆ จนคุ้นเคย และกลายเป็นคำด่าที่ต่อให้ไมใช่คำพูดที่แทงใจดำ ก็รู้สึกเจ็บปวดและฉุนเฉียวอย่างบอกไม่ถูก พอมานึกก็ขำๆ ว่าทำไมคนเราถึงรู้สึกสะทกสะท้อนเมื่อเห็นนิ้วกลางโดดเด่นอยู่บนมือของฝ่ายตรงข้าม ใครกันนะที่เป็นคนสร้างนอร์ม (norm) นี้ขึ้นมาให้เป็นที่จดจำจนถึงทุกวันนี้?
เมื่อทำการหาข้อมูล คงหลีกหนีเรื่องราวของ ไดโอจินีส (Dioneges) ไม่ได้ ไดโอจินีสเป็นนักปรัชญาชาวกรีกโบราณจากสำนักปรัชญาซินซิซิสต์ (cynicism) ที่แปลว่า ‘สุนัข’ ในภาษากรีกโบราณ เพราะว่าคนจากสำนักนี้มักทำตัวไม่ถูกกรอบคนในสังคม อย่างไดโอจินีสขึ้นชื่อเรื่องการทำตัวประหลาดๆ ในที่สาธารณะ เช่น ยืนปัสสาวะ ช่วยตัวเองสนองความใคร่ ไปจนถึงชูนิ้งกลางใส่คนอื่นๆ ที่ตัวเองไม่รู้จัก
แหล่งข้อมูลหลายแห่งอาจกล่าวว่าไดโอจินีสเป็นคนประดิษฐ์การชูนิ้วกลางขึ้น ซึ่งหากพิจารณาตามพื้นฐานสังคมมนุษย์โดยทั่วไปแล้ว การชูนิ้วเป็นเชิงสัญลักษณ์จะไม่มีความหมายถ้าคนในสังคมไม่รู้จักมาอยู่ก่อนแล้ว ดังนั้นการชูนิ้วกลางน่าจะเป็นสัญลักษณ์ที่เอาไว้ก่นด่ามาก่อนที่ไดโอจินีสจะเกิดแล้ว นอกจากนี้หลักฐานบันทึกถึงการชูนิ้วกลางยังปรากฎอยู่ในบทละครคอมเมดี้ของ อาริสโตฟาเนส (Aristophanes) เรื่อง The Clouds โดยในเรื่องขณะที่ตัวละครโสกราตีส (Socrates) กำลังถามคำถาม สเตรปซิอาเดส (Strepsiades) ชาวนาชราแห่งเมืองเอเธนส์ บอกว่าเขารู้ดีว่าแด็กทิลคืออะไร (แด็กทิล คือสัญลักษณ์มือคล้ายกับท่านิ้วยิงปืน ใช้เป็นหน่วยวัดความยาวตั้งแต่นิ้วหัวแม่มือไปจนถึงปลายนิ้วชี้) แต่แทนที่เขาจะใช้ชูนิ้วชี้เป็นสัญลักษณ์แด็กทิล เขากลับชูนิ้วกลางเป็นการล้อเลียน
การชูนิ้วกลางชาวกรีกโบราณเรียกว่า ‘คาตาปูกอน’ (κατάπυγο) แปลว่า รูทวารส่วนล่าง มักถูกใช้เพื่อแสดงถึง “การยอมรับการมีเพศสัมพันธ์ผ่านรูทวาร” หรือ “การใช้นิ้วแหย่รูทวาร” ถึงกระนั้นยังไม่มีใครเข้าใจว่าทำไมมันถึงกลายเป็นสัญลักษณ์ที่มีความหมายเชิงลบ อาจเป็นเพราะมันถูกใช้เพื่อล้อเลียน จึงเป็นที่มาของจุดประสงค์ไม่ดีตั้งแต่แรก นอร์มเรื่องการใช้นิ้วกลางยังเป็นที่เข้าใจกันในหมู่ชาวโรมัน ในภาษาลาตินนั้นเรียกว่า ‘ดิจิตุส อิมพูดิคุส’ (digitus impudicus) แปลว่า “ความไร้ยางอาย หรือนิ้วที่แสดงถึงความปฏิปักษ์” มีเรื่องเล่าว่า จักรพรรดิคาลิกูลา (Emperor Caligula) ที่ถูกขนานนามว่าจักรพรรดิบ้าบิ่น ให้ประชาชนจูบที่นิ้วกลางของเขาแทนที่จะเป็นมือ
จากนั้นการชูนิ้วกลางก็เดินทางมายาวนานมาถึงปัจจุบัน และความหมายก็ยังไม่แปรเปลี่ยน ถ้าไม่หมายถึง การมีเพศสัมพันธ์ ก็เป็นอวัยวะส่วนล่าง พ่วงกับคำว่า ‘f*ck you’ แม้ว่าความหมายยังคลุมเครือ แต่คนที่โดนนิ้วกลางก็รู้สึกเจ็บแสบอย่างบอกไม่ถูก และในโลกปัจจุบันที่เต็มไปด้วยสื่อ ข้อมูล และคอนเทนต์ ทำให้สัญลักษณ์นี้เป็นที่เข้าใจทั่วโลก จนเรียกได้ว่าเป็นคำด่าสากลไปเลยก็ยังได้
เมื่อทำการหาข้อมูล คงหลีกหนีเรื่องราวของ ไดโอจินีส (Dioneges) ไม่ได้ ไดโอจินีสเป็นนักปรัชญาชาวกรีกโบราณจากสำนักปรัชญาซินซิซิสต์ (cynicism) ที่แปลว่า ‘สุนัข’ ในภาษากรีกโบราณ เพราะว่าคนจากสำนักนี้มักทำตัวไม่ถูกกรอบคนในสังคม อย่างไดโอจินีสขึ้นชื่อเรื่องการทำตัวประหลาดๆ ในที่สาธารณะ เช่น ยืนปัสสาวะ ช่วยตัวเองสนองความใคร่ ไปจนถึงชูนิ้งกลางใส่คนอื่นๆ ที่ตัวเองไม่รู้จัก
แหล่งข้อมูลหลายแห่งอาจกล่าวว่าไดโอจินีสเป็นคนประดิษฐ์การชูนิ้วกลางขึ้น ซึ่งหากพิจารณาตามพื้นฐานสังคมมนุษย์โดยทั่วไปแล้ว การชูนิ้วเป็นเชิงสัญลักษณ์จะไม่มีความหมายถ้าคนในสังคมไม่รู้จักมาอยู่ก่อนแล้ว ดังนั้นการชูนิ้วกลางน่าจะเป็นสัญลักษณ์ที่เอาไว้ก่นด่ามาก่อนที่ไดโอจินีสจะเกิดแล้ว นอกจากนี้หลักฐานบันทึกถึงการชูนิ้วกลางยังปรากฎอยู่ในบทละครคอมเมดี้ของ อาริสโตฟาเนส (Aristophanes) เรื่อง The Clouds โดยในเรื่องขณะที่ตัวละครโสกราตีส (Socrates) กำลังถามคำถาม สเตรปซิอาเดส (Strepsiades) ชาวนาชราแห่งเมืองเอเธนส์ บอกว่าเขารู้ดีว่าแด็กทิลคืออะไร (แด็กทิล คือสัญลักษณ์มือคล้ายกับท่านิ้วยิงปืน ใช้เป็นหน่วยวัดความยาวตั้งแต่นิ้วหัวแม่มือไปจนถึงปลายนิ้วชี้) แต่แทนที่เขาจะใช้ชูนิ้วชี้เป็นสัญลักษณ์แด็กทิล เขากลับชูนิ้วกลางเป็นการล้อเลียน
การชูนิ้วกลางชาวกรีกโบราณเรียกว่า ‘คาตาปูกอน’ (κατάπυγο) แปลว่า รูทวารส่วนล่าง มักถูกใช้เพื่อแสดงถึง “การยอมรับการมีเพศสัมพันธ์ผ่านรูทวาร” หรือ “การใช้นิ้วแหย่รูทวาร” ถึงกระนั้นยังไม่มีใครเข้าใจว่าทำไมมันถึงกลายเป็นสัญลักษณ์ที่มีความหมายเชิงลบ อาจเป็นเพราะมันถูกใช้เพื่อล้อเลียน จึงเป็นที่มาของจุดประสงค์ไม่ดีตั้งแต่แรก นอร์มเรื่องการใช้นิ้วกลางยังเป็นที่เข้าใจกันในหมู่ชาวโรมัน ในภาษาลาตินนั้นเรียกว่า ‘ดิจิตุส อิมพูดิคุส’ (digitus impudicus) แปลว่า “ความไร้ยางอาย หรือนิ้วที่แสดงถึงความปฏิปักษ์” มีเรื่องเล่าว่า จักรพรรดิคาลิกูลา (Emperor Caligula) ที่ถูกขนานนามว่าจักรพรรดิบ้าบิ่น ให้ประชาชนจูบที่นิ้วกลางของเขาแทนที่จะเป็นมือ
จากนั้นการชูนิ้วกลางก็เดินทางมายาวนานมาถึงปัจจุบัน และความหมายก็ยังไม่แปรเปลี่ยน ถ้าไม่หมายถึง การมีเพศสัมพันธ์ ก็เป็นอวัยวะส่วนล่าง พ่วงกับคำว่า ‘f*ck you’ แม้ว่าความหมายยังคลุมเครือ แต่คนที่โดนนิ้วกลางก็รู้สึกเจ็บแสบอย่างบอกไม่ถูก และในโลกปัจจุบันที่เต็มไปด้วยสื่อ ข้อมูล และคอนเทนต์ ทำให้สัญลักษณ์นี้เป็นที่เข้าใจทั่วโลก จนเรียกได้ว่าเป็นคำด่าสากลไปเลยก็ยังได้