‘มอร์ วสุพล เกรียงประภากิจ’ ศิลปินจากค่าย What the Duck และเจ้าของซิงเกิ้ลล่าสุด ‘ได้ก็ดี’ บอกเล่าเรื่องราวบนเส้นทางศิลปิน และการเติบโตที่ผ่านมาจากการทำเพลง
ที่มาของเพลง ‘ได้ก็ดี’
เพลงนี้เริ่มต้นจากการทำโครงสร้างเพลงกับพี่ปกป้องเก็บไว้เรื่อยๆ ได้ก็ดี ก็เป็นหนึ่งในโครงสร้างที่ผมชอบแต่ยังคิดไม่ออกว่าจะเขียนเรื่องอะไร จนกระทั่ง ‘เพลง - ต้องตา จิตดี’ ศิลปินจากวง Plastic Plastic เดินเข้ามาในสตูดิโอ เราก็ถามเพลงว่าจะเขียนถึงเรื่องอะไรดี หลังจากที่เพลงได้ฟังทำนองแล้วเพลงก็พูดออกมาว่า ‘ได้ก็ดี’ ก็เลยลากเพลงมานั่งเขียนด้วยเลย (หัวเราะ) แล้วตอนเขียนเอนเนอร์จี อะไรหลายๆ อย่างมันดีมากจนสามารถจบได้ภายในวันเดียว
สิ่งที่ Music Video ต้องการจะสื่อถึง
จริงๆ แล้วหลังๆ มาเหมือนเราไปทำโฆษณามานานแล้วเพิ่งได้กลับมาทำ MV ก็รู้สึกสนุกๆ ดี เพราะมันมีความอาร์ตกว่าและก็สามารถทำอะไรได้เยอะกว่า ไอเดีย MV จริงๆ ก็คือเวลาเราชอบเพลงใคร เราจะชอบเอาตัวเองไปแทนเป็นนักร้อง และเราก็เอาไอเดียนี้ไปขยายต่อ เช่น สมมติว่าเราแทนตัวเราอยู่ในเพลงนี้ ความสัมพันธ์ของเราจะเป็นแบบไหน ส่วนความเป็นซาวด์เพลงกับ ‘มอร์ วสุ’ ในเพลงนี้จะใกล้กับความเป็น มอร์ วสุ แบบที่คนเข้าใจมากหน่อย แต่มันก็เปลี่ยนไปตามเพลงที่เขียนหรือดนตรีที่เราสนใจน่ะแหละการเติบโตที่ผ่านมาสอนเรายังไงบ้าง
เรารู้สึกว่าช่วงปีที่ผ่านมาเพลงมันไร้สูตรมากๆ เราไม่สามารถเก็งได้แล้วว่าเพลงแบบไหนจะดัง ตอนนี้เราไม่รู้เลยว่าเพลงไหนจะดัง อย่างเพลงเมลเบิร์นที่เรารู้สึกว่าดัง คือเจอญาติแล้วเขาเดินมาบอกว่า หลานเขาชอบมาก เออคือเพลงดังว่ะ เพราะมันไปถึงหลานที่อยู่ต่างจังหวัดที่ไม่เคยเจอกันเลย แต่มันก็ไม่ส่งผลถึงเราเท่าไหร่นะ เราก็ทำตามสิ่งที่เราชอบนั่นแหละ นั่นคือสิ่งที่เราได้เรียนรู้จากการทำเพลง
แต่เราก็รู้สึกว่าเออๆ พอละไม่ต้องดังมากกว่านี้ เดี๋ยวเราจะกลายเป็นคนของสังคม (หัวเราะ) แต่กับบางเพลงขอให้ดังมากกว่านี้หน่อยได้ก็ดี เราจะได้มีงานไปเล่นเยอะๆ
แต่เราก็จะพยายามรับงานไม่เยอะมาก เพราะก่อนหน้านี้มันเคยชนกันเละมาก ก็ทำเราป่วยๆ ร่างกายพัง จิตใจก็ไม่ดี เราก็เลยพยายามรับงานไม่เยอะมากเพื่อให้มันมีเวลาทำอย่างเต็มที่
แต่เราก็จะพยายามรับงานไม่เยอะมาก เพราะก่อนหน้านี้มันเคยชนกันเละมาก ก็ทำเราป่วยๆ ร่างกายพัง จิตใจก็ไม่ดี เราก็เลยพยายามรับงานไม่เยอะมากเพื่อให้มันมีเวลาทำอย่างเต็มที่
การมาเป็นศิลปินเดี่ยว ต่างจากตอนทำวงหรือเปล่า
ก็มีตังค์เยอะขึ้น (หัวเราะ) การทำวงมันเหมือนมีแฟนหลายคนพร้อมกัน มันคือการทำงานกลุ่มก็สนุก แต่ก็ปวดหัวกันคนละแบบ ย้อนกลับไปในสมัยที่ทำ Ten To Twelve ช่วงเวลานั้นไม่ได้ถือว่าเป็นจุดพลิกอะไร จริงๆ มันก็เหมือนแค่สมาชิกไม่พร้อมจะทำเพลง และวงก็ไม่เคยยุบ แต่มันแค่ไม่มีใครทำ แต่เราก็แค่อยากทำเพลงของเราต่อ ไม่ได้คิดไรเลย