*คำเตือน: เนื้อหาอาจมีความรุนแรง และสามารถส่งผลกระทบต่อจิตใจได้*
การมาของซีรีส์เรื่อง ‘Monster: The Jeffrey Dahmer Story’ บน Netflix ทำให้หลายคนกลับมาตระหนักถึงคดีฆาตกรรมกันมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของการกินเนื้อมนุษย์ หรือ Cannibalism เริ่มกลายเป็นที่สนใจว่าสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้เกิดพฤติกรรมนี้ขึ้นนั้นเกิดจากปัจจัยอะไรบ้าง
ปัจจุบันมีการบันทึกรายชื่อฆาตกรต่อเนื่องชื่อดังที่กินเนื้อมนุษย์อยู่ราว 15-20 คน และมีการสำรวจว่าปัจจุบันมนุษย์กินคนนั้นมีจำนวนน้อยลงกว่าเมื่อก่อน แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ายังมีอยู่ ถ้าไม่นับชนเผ่าโบราณบางกลุ่มที่ยังถือการกินมนุษย์เป็นธรรมเนียมเดิม
หนึ่งในมนุษย์กินคนที่เลื่องชื่อที่สุดอีกหนึ่งคนคือชาวญี่ปุ่นนามว่า อิสเซ ซากาวะ (Issei Sagawa) มนุษย์กินคนที่ปัจจุบันยังเป็นอิสระ และใช้ชีวิตปกติเหมือนคนทั่วไป แถมยังเขียนหนังสือเป็นของตัวเอง และถูกสร้างเป็นหนังสือการ์ตูน เราจะมาทำความรู้จัก อิสเซ ซากาวะ กันให้มากขึ้น เพื่อพยายามเข้าใจถึงมุมมองความคิดที่คนอื่นไม่คิดกันผ่านบทสัมภาษณ์ที่เขาให้กับสื่อ

อิสเซ ซากาวะ เป็นชาวโกเบโดยกำเนิด มีชีวิตในวัยเด็กที่ปกติดี แต่สิ่งที่เป็นปัญหาสำหรับเขาคือพ่อแม่ของอิสเซค่อนข้างเคร่งครัด และไม่เคยมีการพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับเพศสัมพันธ์เลยแม้แต่ครั้งเดียว ตอนที่อิสเซยังเป็นเด็ก เขาค่อนข้างมีปัญหาเรื่องสุขภาพ และด้วยความไม่รู้ จึงคิดว่าการแข็งตัวของอวัยวะเพศคือส่วนหนึ่งของอาการป่วย แทนที่เขาจะจัดการด้วยการช่วยตัวเอง เขากลับเอาอวัยวะเพศของเขาไปให้สุนัขเลียแทน ซึ่งช่วงนี้เป็นช่วงที่อิสเซกล่าวทีหลังว่าอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เขามีรสนิยมทางเพศที่ผิดแปลกไป
อิสเซ เผยว่าตนรู้สึกดึงดูดกับผู้หญิงคอเคเซียน หรือผู้หญิงผิวขาวมาก ตอนอายุ 24 ขณะที่กำลังศึกษาอยุ่ที่มหาวิทยาลัยวาโกะในโตเกียว อิสเซแอบติดตามผู้หญิงเยอรมันถึงห้อง และบุกเข้าห้องอพาร์ทเมนต์ขณะที่เธอกำลังนอนหลับอยู่ อิสเซกล่าวว่าเขารู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้น่ากิน ขณะที่อิสเซพยายามลงมือเฉือนเนื้อเธอ ผู้หญิงตื่นขึ้นมาด้วยความหวาดกลัว อิสเซจึงถูกจับข้อหาพยายามข่มขืน
ต่อมาในปี 1977 อิสเซไปเรียนต่อปริญญาเอกด้านวรรณกรรมเปรียบเทียบที่มหาวิทยาลัยซอบอนในปารีส ช่วงนั้นเขาได้ชักชวนโสเภณีมามากมายหวังฆาตกรรมด้วยปืน แต่ทุกครั้งที่เขาจะทำ เขากลับรู้สึกไม่กล้า จนปี 1981 ขณะที่อิสเสอายุ 32 ปี เขาประสบความสำเร็จในการกินเนื้อมนุษย์เป็นครั้งแรก โดยเหยื่อมีชื่อว่า เรเน ฮาร์เทอเวลท์ (Renee Hartevelt) หญิงชาวดัทช์วัย 25 ปี ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมชั้นของอิสเซ เขาหลอกเธอให้มาที่ห้องเพื่อทานอาหารเย็น และช่วยกันแปลบทกวี ขณะที่เรเนกำลังอ่านบทกวีบนโต๊ะริมหน้าต่าง อิสเซได้คว้าปืนออกมา เล็งไปที่ศีรษะของเธอ และเหนี่ยวไก
อิสเซ เผยว่าตนรู้สึกดึงดูดกับผู้หญิงคอเคเซียน หรือผู้หญิงผิวขาวมาก ตอนอายุ 24 ขณะที่กำลังศึกษาอยุ่ที่มหาวิทยาลัยวาโกะในโตเกียว อิสเซแอบติดตามผู้หญิงเยอรมันถึงห้อง และบุกเข้าห้องอพาร์ทเมนต์ขณะที่เธอกำลังนอนหลับอยู่ อิสเซกล่าวว่าเขารู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้น่ากิน ขณะที่อิสเซพยายามลงมือเฉือนเนื้อเธอ ผู้หญิงตื่นขึ้นมาด้วยความหวาดกลัว อิสเซจึงถูกจับข้อหาพยายามข่มขืน
ต่อมาในปี 1977 อิสเซไปเรียนต่อปริญญาเอกด้านวรรณกรรมเปรียบเทียบที่มหาวิทยาลัยซอบอนในปารีส ช่วงนั้นเขาได้ชักชวนโสเภณีมามากมายหวังฆาตกรรมด้วยปืน แต่ทุกครั้งที่เขาจะทำ เขากลับรู้สึกไม่กล้า จนปี 1981 ขณะที่อิสเสอายุ 32 ปี เขาประสบความสำเร็จในการกินเนื้อมนุษย์เป็นครั้งแรก โดยเหยื่อมีชื่อว่า เรเน ฮาร์เทอเวลท์ (Renee Hartevelt) หญิงชาวดัทช์วัย 25 ปี ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมชั้นของอิสเซ เขาหลอกเธอให้มาที่ห้องเพื่อทานอาหารเย็น และช่วยกันแปลบทกวี ขณะที่เรเนกำลังอ่านบทกวีบนโต๊ะริมหน้าต่าง อิสเซได้คว้าปืนออกมา เล็งไปที่ศีรษะของเธอ และเหนี่ยวไก

อิสเซ ลงมือข่มขืนศพของเธอ ก่อนจะลงมือกินด้วยการกัดเข้าไปที่บั้นท้ายของเธอ แต่ด้วยเนื้อที่เหนียวเกินไป เขาจึงไปซื้อมีดแล่เนื้อเพื่อแล่เนื้อส่วนบั้นท้าย หน้าอก และใบหน้า จากนั้นก็ทำการชำแหละส่วนร่างกายเพื่อเก็บไว้ในตู้เย็น
อิสเซซื้อกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่มาเพื่อใส่ชิ้นส่วนร่างกายของเรเน และตั้งใจนำไปทิ้งที่สวนสาธารณะบัวส์ เดอ บูโลญ (Bois de Boulogne) แต่มีคนที่สวนสาธาณะจับได้ ทำให้อิสเซถูกจับกุมอยู่สองปีระหว่างการพิพากษาคดี อิสเซถูกพิจารณาว่ามีอาการทางจิตในทางกฎหมาย และถูกส่งตัวกลับไปที่ประเทศญี่ปุ่น
อิสเซซื้อกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่มาเพื่อใส่ชิ้นส่วนร่างกายของเรเน และตั้งใจนำไปทิ้งที่สวนสาธารณะบัวส์ เดอ บูโลญ (Bois de Boulogne) แต่มีคนที่สวนสาธาณะจับได้ ทำให้อิสเซถูกจับกุมอยู่สองปีระหว่างการพิพากษาคดี อิสเซถูกพิจารณาว่ามีอาการทางจิตในทางกฎหมาย และถูกส่งตัวกลับไปที่ประเทศญี่ปุ่น

เมื่อมาถึงญี่ปุ่น อิสเซได้รับการวินิจฉัยจากจิตแพทย์ในโรงพยาบาลมัตซึซาวะ ผลปรากฎว่าอิสเซไม่ได้ป่วยทางจิตแต่อย่างใด และสาเหตุในการฆ่าคนเพื่อกินนั้นเป็นเพียงรสนิยมทางเพศ นั่นคือการหลงใหลผู้หญิงผิวขาวจนถึงขั้นที่ว่าการกินเนื้อคือการตอบสนองอารมณ์ทางเพศ ส่วนทางฝรั่งเศสเองนั้นก็เริ่มปล่อยคดีนี้หายไป ทำให้อิสเซไม่ได้รับโทษใดๆ ในทางกฎหมายในญี่ปุ่น

ถึงแม้ว่าเขาจะมีชีวิตอิสระ แต่ก็ไม่ง่าย ด้วยการที่เขาลงหนังสือพิมพ์ทำให้เขามีแต่ชื่อเสีย จนกระทั่งเริ่มมีสื่อติดต่อทำสัมภาษณ์พร้อมกับให้เงินเป็นการตอบแทน เขาจึงเริ่มรับงานต่างๆ ทั้งให้สัมภาษณ์ลงสื่อ ถูกเขียนเป็นหนังสือการ์ตูน ไปจนถึงออกรายการประหลาดๆ ของญี่ปุ่น ที่ไปไกลถึงขั้นแสดงในหนังผู้ใหญ่ของญี่ปุ่น
อิสเซให้สัมภาษณ์ว่าสิ่งที่เขาทำได้เพื่อหาเงินคือการเขียนหนังสือ เขาจึงเขียนหนังสือ บทความ นิยาย ออกมา และด้วยความหลงใหลในผู้หญิงผิวขาว ทำให้เขาหันมาทำงานอดิเรกด้วยการวาดรูปเหมือนผู้หญิง และให้ตัวแทนนำไปขาย
หลังจากการจับกุมที่ฝรั่งเศส อิสเซยังคงหลงใหลในผู้หญิงผิวขาวมาตลอด เขาเดทกับผู้หญิงผิวขาวหลายคน แต่ไม่เคยถึงขั้นเกินเลย และทุกครั้งที่เขาเห็นผู้หญิงที่เขาชอบ เขาจะเอ่ยด้วยการบอกว่า “คนนี้น่ากินดี” หรือไม่ก็ “ต้นขาคนนี้ก็น่ากิน ส่วนหัวไหล่ก็ด้วย”
อิสเซให้สัมภาษณ์ว่าสิ่งที่เขาทำได้เพื่อหาเงินคือการเขียนหนังสือ เขาจึงเขียนหนังสือ บทความ นิยาย ออกมา และด้วยความหลงใหลในผู้หญิงผิวขาว ทำให้เขาหันมาทำงานอดิเรกด้วยการวาดรูปเหมือนผู้หญิง และให้ตัวแทนนำไปขาย
หลังจากการจับกุมที่ฝรั่งเศส อิสเซยังคงหลงใหลในผู้หญิงผิวขาวมาตลอด เขาเดทกับผู้หญิงผิวขาวหลายคน แต่ไม่เคยถึงขั้นเกินเลย และทุกครั้งที่เขาเห็นผู้หญิงที่เขาชอบ เขาจะเอ่ยด้วยการบอกว่า “คนนี้น่ากินดี” หรือไม่ก็ “ต้นขาคนนี้ก็น่ากิน ส่วนหัวไหล่ก็ด้วย”

หลายคนอาจสงสัยว่าเขายังมีความอยากกินเนื้อผู้หญิงอยู่หรือไม่ จริงๆ แล้วอิสเซยังมีความอยากอยู่จนถึงทุกวันนี้ แต่สิ่งที่เขาทำเพื่อขจัดความอยากนั้นออกไปคือการช่วยตัวเองเพื่อขจัดอารมณ์ทางเพศออกไป และมีบางวันเช่นกันที่เขารู้สึกอยากตาย และเสียใจกับการกระทำของตัวเอง แต่ถ้าหากจะตาย อิสเซกล่าวว่า “ผมขอตายด้วยเงื้อมมือของผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย” บ่งบอกให้รู้ว่าแม้แต่คำขอตายของเขาเองก็ยังแฝงไปด้วยรสนิยมทางเพศอันแปลกประหลาด
ปัจจุบัน อิสเซ ซากาวะ มีอายุ 73 ปี และยังคงอาศัยอยู่ที่เมืองโกเบ ประเทศญี่ปุ่น พร้อมกับเรื่องราวอันดำมืดที่อยู่เบื้องหลัง
ปัจจุบัน อิสเซ ซากาวะ มีอายุ 73 ปี และยังคงอาศัยอยู่ที่เมืองโกเบ ประเทศญี่ปุ่น พร้อมกับเรื่องราวอันดำมืดที่อยู่เบื้องหลัง