เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2022 มูลนิธิรอยัลแบงค์ค็อกซิมโฟนีออร์เคสตร้า (Royal Bangkok Symphony Orchestra-RBSO) ในพระอุปถัมภ์สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ร่วมกับ บี.กริม ร่วมกันจัดการแสดงสุดพิเศษ โดย แมกซิม เวนเกรอฟ (Maxim Vengerov) นักเดี่ยวไวโอลินระดับตำนาน และ รูสเท็ม เซตคูลอฟ (Roustem Saitkoulov) นักเปียโนระดับต้นของโลก บรรเลงร่วมกับวง RBSO ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย
คอนเสิร์ตครั้งนี้อำนวยเพลงโดย ดักลาส โบสต็อค (Douglas Bostock) ผู้อำนวยเพลงชาวอังกฤษที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ ปัจจุบันเป็นผู้อำนวยเพลงหลัก (Principal Conductor) วง Aargai Philharmonic ที่สวิตเซอร์แลนด์ตั้งแต่ปี 2001 และ อำนวยการด้านดนตรี (Music Director) ของงานเทศกาล Hallwyl Opera Festivalตั้งแต่ปี 2003 จากการที่เขามีความเชี่ยวชาญในการอำนวยเพลงงานประพันธ์สำหรับวงออเครสตร้ามากมายและหลายหลายสไตล์ โบสต็อค จึงมีผลงานบันทึกเสียงเป็นซีดีถึง 100 ชุด ทั้งเพลงที่ได้รับความนิยม เพลงที่ยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักกันแพร่หลาย และเพลงที่ไม่เคยถูกนำมาบันทึกเสียง ผลงานบันทึกเสียงที่สำคัญคือ การบันทึกเสียงเพลงสำหรับวงออร์เคสตร้าที่ประพันธ์โดย คาร์ล นีลสัน (Carl Nielson) ทั้งหมด และซิมโฟนีทุกบทที่ประพันธ์โดย โรเบิร์ต ชูมันน์ (Robert Schumann)
คอนเสิร์ตครั้งนี้อำนวยเพลงโดย ดักลาส โบสต็อค (Douglas Bostock) ผู้อำนวยเพลงชาวอังกฤษที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ ปัจจุบันเป็นผู้อำนวยเพลงหลัก (Principal Conductor) วง Aargai Philharmonic ที่สวิตเซอร์แลนด์ตั้งแต่ปี 2001 และ อำนวยการด้านดนตรี (Music Director) ของงานเทศกาล Hallwyl Opera Festivalตั้งแต่ปี 2003 จากการที่เขามีความเชี่ยวชาญในการอำนวยเพลงงานประพันธ์สำหรับวงออเครสตร้ามากมายและหลายหลายสไตล์ โบสต็อค จึงมีผลงานบันทึกเสียงเป็นซีดีถึง 100 ชุด ทั้งเพลงที่ได้รับความนิยม เพลงที่ยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักกันแพร่หลาย และเพลงที่ไม่เคยถูกนำมาบันทึกเสียง ผลงานบันทึกเสียงที่สำคัญคือ การบันทึกเสียงเพลงสำหรับวงออร์เคสตร้าที่ประพันธ์โดย คาร์ล นีลสัน (Carl Nielson) ทั้งหมด และซิมโฟนีทุกบทที่ประพันธ์โดย โรเบิร์ต ชูมันน์ (Robert Schumann)

บทเพลงแรกที่ถูกหยิบยกขึ้นมาบรรเลงในค่ำคืนนี้ เป็นบทเพลงจากอุปรากรที่แต่งไม่เสร็จเรื่อง Salammbo ของ โมเดส มุสซอร์กสกี (Modest Mussorgsky) และถูกดึงเนื้อหากลับมาประพันธ์เพื่อใช้สำหรับวงดุริยางค์ขึ้นอีกครั้ง โดย ริมสกี-คอร์ซาคอฟ (Rimsky-Korsakov) สหายของ มุสซอร์กสกี
เรื่องราวในบทประพันธ์นี้เป็นเรื่องราวที่เล่าผ่านการสายตาของ St.John ที่มองพาดผ่านภูเขาไปยังยอดเขาหัวโล้นใกล้เมืองเคียฟ (Kiev) ในประเทศยูเครนในปัจจุบัณ ได้มีการรวมตัวกันในคืนวัน Zabbath ของเหล่าแม่มดและภูตผี จากนั้นท่อนต่อมาของเพลงจะเล่าถึงบรรยากาศที่พวกแม่มดสังสรรกันอย่างรื่นเริง สะท้อนมิติของดนตรีที่มีความซับซ้อน ยากจะเข้าถึง ยากที่จะจินตนาการตามให้ทันกับแม่มด ผี วิญญาณน้อยใหญ่เหล่านั้น จากนั้นอารมณ์เพลงจะสะท้อนภาพที่ต่างผีต่างภูตต่างเริ่มแผดกระจายแยกตัวกันหายไปจนบรรยากาศโดยรอบเขาหัวโล้นนี้กลับมาสงบเงียบอีกครั้ง ถึงตอนนี้เข้าสู่ท่อนสุดท้ายของเพลงที่แสงอาทิตย์กลับขึ้นมาส่องสว่างลงสู่ยอดเขาและเมืองที่อยู่ใกล้เคียงอีกครั้ง
เรื่องราวในบทประพันธ์นี้เป็นเรื่องราวที่เล่าผ่านการสายตาของ St.John ที่มองพาดผ่านภูเขาไปยังยอดเขาหัวโล้นใกล้เมืองเคียฟ (Kiev) ในประเทศยูเครนในปัจจุบัณ ได้มีการรวมตัวกันในคืนวัน Zabbath ของเหล่าแม่มดและภูตผี จากนั้นท่อนต่อมาของเพลงจะเล่าถึงบรรยากาศที่พวกแม่มดสังสรรกันอย่างรื่นเริง สะท้อนมิติของดนตรีที่มีความซับซ้อน ยากจะเข้าถึง ยากที่จะจินตนาการตามให้ทันกับแม่มด ผี วิญญาณน้อยใหญ่เหล่านั้น จากนั้นอารมณ์เพลงจะสะท้อนภาพที่ต่างผีต่างภูตต่างเริ่มแผดกระจายแยกตัวกันหายไปจนบรรยากาศโดยรอบเขาหัวโล้นนี้กลับมาสงบเงียบอีกครั้ง ถึงตอนนี้เข้าสู่ท่อนสุดท้ายของเพลงที่แสงอาทิตย์กลับขึ้นมาส่องสว่างลงสู่ยอดเขาและเมืองที่อยู่ใกล้เคียงอีกครั้ง

บทเพลงต่อมา ได้รับเกียรติจาก รูสเท็ม เซตคูลอฟ นักเปียโนชาวฝรั่งเศส ผู้ชนะเลิศการแข่งขันระดับนานาชาติหลายรายการ อาทิ Grand Prix of the Monte Carlo World Piano-Masters, F. Busoni Competition, UNISA Competition, Concours Géza Andà และ ชนะเลิศการแข่งขันเปียโนรายการ Rome Piano Competition โดยเพลงที่หยิบขึ้นมาบรรเลงเดี่ยวในค่ำคืนนี้คือ Piano Concerto No. 3 in C major, Op. 26 ที่ประพันธ์โดย เซอรเกย์ โพรโคเฟียฟ (Sergei Prokofiev) นักประพันธ์เพลงชาวรัสเซียในยุคศตวรรษที่ 20 โพรโคเฟียฟ ได้ถูกกล่าวขานอยู่บ่อยครั้ง ว่าทั้งๆ ที่เป็นนักประพันธ์ที่ถือกำเนิดในยุคโรแมนติก แต่ก็มีการใช้รูปแบบการประพันธ์เพลงและเทคนิคต่างๆที่ดึงกลับมาจากยุคคลาสสิค และสอดคล้องกับบางบทเพลงที่ก็มีการใช้เสียงประพันธ์แบบคลาสสิคใหม่ (Neo-classicism) ตามแบบฉบับบของโพรโคเฟียฟ

จำนวนบทประพันธ์ Piano Concerto ของ โพรโคเฟียฟ นั้น สอดคล้องกับ เบโทเฟน (Beethoven) นั่นคือทั้งสองต่างมีบทประพันธ์เท่ากันจำนวน 5 คอนแชโต แต่มีเพียงบทเพลงเดียวเท่านั้นของ โพรโคเฟียฟ ที่ถูกยกขึ้นมาบรรเลงบ่อยครั้ง นั่นคือบทประพันธ์หมายเลขสาม ที่มีการแสดงครั้งประฐมฤกษ์ที่กรุงชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกาในเดือนธันวาคม ปี 1921 ถึงแม้ว่าบทประพันธ์นี้จะไม่ได้ถูกแต่งให้เสร็จในครั้งเดียว หากแต่กว่าจะประกอบร่างเสร็จเป็นผลงานครบชิ้นต้องใช้เวลาร่วมหลายปี แต่โพรโคเฟียฟ ก็ไม่ได้ทำให้อารมณ์และความต่อเนื้องของเพลง ขาดช่วงขาดตอนแต่อย่างใด
ในท่อนแรกของเพลงจะเริ่มด้วยเสียงคาริเนทที่หอนหวนวังเวงที่ในไม่ช้าจะเลือนหายไปและกลับถูกแทรกสวนขึ้นมาด้วยทำนองที่มีความหนักแน่นของเสียงเครื่องสายเพื่อปูทางให้กับการปรากฎตัวของเสียงเปียโนที่เป็นตัวเอกของบทประพันธ์ชิ้นนี้ รูปแบบของตัวโน้ตที่สะท้อนความกระด้างกระเดื่องของท่อนนี้ต้องอาศัยความปราดเปรียวและแม่นยำในการบรรเลง จากนั้นจะถูกขั้นกลางด้วยเสียงโอโบวที่จะชักนำไปสู่ทำนองหลักและจะถูกสาดสีเล่นแสงด้วยล้อกันไปมาระหว่างเสียงเดี่ยวเปียโนและออร์เคสตรา บทที่สองของเพลงมาในรูปแบบที่สลับและย้ำเติมทำนองหลักที่เพิ่มความซับซ้อนไปในแต่ละท่อนเพลง จากนั้นจะกลับมาที่ความสง่างามแต่สับสน หอมหวานแต่โอนเอียง ชัดเจนแต่เลื่อนลอย เยี่ยงท่อนแรกอีกครั้ง
ในท่อนแรกของเพลงจะเริ่มด้วยเสียงคาริเนทที่หอนหวนวังเวงที่ในไม่ช้าจะเลือนหายไปและกลับถูกแทรกสวนขึ้นมาด้วยทำนองที่มีความหนักแน่นของเสียงเครื่องสายเพื่อปูทางให้กับการปรากฎตัวของเสียงเปียโนที่เป็นตัวเอกของบทประพันธ์ชิ้นนี้ รูปแบบของตัวโน้ตที่สะท้อนความกระด้างกระเดื่องของท่อนนี้ต้องอาศัยความปราดเปรียวและแม่นยำในการบรรเลง จากนั้นจะถูกขั้นกลางด้วยเสียงโอโบวที่จะชักนำไปสู่ทำนองหลักและจะถูกสาดสีเล่นแสงด้วยล้อกันไปมาระหว่างเสียงเดี่ยวเปียโนและออร์เคสตรา บทที่สองของเพลงมาในรูปแบบที่สลับและย้ำเติมทำนองหลักที่เพิ่มความซับซ้อนไปในแต่ละท่อนเพลง จากนั้นจะกลับมาที่ความสง่างามแต่สับสน หอมหวานแต่โอนเอียง ชัดเจนแต่เลื่อนลอย เยี่ยงท่อนแรกอีกครั้ง

ไวโอลินที่ เวนเกรอฟ ใช้แสดงเป็นไวโอลินสตราดิวาเรียส (Stradivarius) ผลิตขึ้นในปี 1727 ไวโอลินตัวนี้มีชื่อเล่นว่า “Kreutzer” ที่ รูดอล์ฟ ครอยต์เซอร์ (Rodolphe Kreutzer) นักไวโอลินผู้ยิ่งใหญ่ระดับตำนานเป็นผู้ครอบครองก่อนหน้านี้ ส่งผ่านนักไวโอลินเลืองชื่อมากมายจนตกมาถึง เวนเกรอฟ และครอบครองจนถึงปัจจุบัน โดยชนะการประมูลที่ลอนดอนในราคา 1.8 ล้านเหรียญ สำหรับคันชักไวโอลินนั้น เวนเกรอฟมี 2 คัน คันแรกทำโดย FX Tourete ส่วนอีกคันทำโดย D Perccatte ซึ้งทั้งสองคันทำโดยชาวฝรั่งเศสผู้มีชื่อเสียง และมีมูลค้านับล้านเหรียญเช่นกัน
เพลงแรกที่ แมกซิม หยิบมาบรรเลงให้ได้รับชมในค่ำคืนนี้ คือ Violin Concerto No.1 in D Major, Op.19 เป็นเพลงที่มาจาก โพรโคเฟียฟ ผู้ประพันธ์คนเดียวกับบทเพลงที่ เซตคูลอฟ บรรเลงเดี่ยวเปียโนไปเมื่อช่วงก่อนหน้านี้ โดยท่อนแรก ‘An-dantino’ ท่อนที่สอง ‘Scherzo : Vivacissimo และ ท่อนที่ 3 Moderato - Allegro moderato ถูกเวนเกรอฟตีความออกมาได้อย่างแตกต่างกันชัดเจน ลึกซึ้ง และ หนักแน่น
เพลงที่สองของแมกซิม และเป็นบทเพลงสุดท้ายก่อนเพลง encore ในค่ำคืนนี้ คือเพลง Tzigane for Violin and Orchestra ที่ประพันธ์โดย เมาไรซ์ เรเวล (Maurice Ravel) นักประพันธ์ นักเปียโน และ ผู้อำนวยเพลงชาวฝรั่งเศส
รูปแบบเพลงทั่วไปของ Tzigane ค่อนข้างจะคล้ายๆกับรูปแบบเพลง Hungarian czardas งานชิ้นนี้ออกแสดงครั้งแรกเมื่อวันที่ 26 เมษายน 1924 ณ ห้องแสดงดนตรีแชมเบอร์ ที่กรุงลอนดอน โดย เจลลี ดารองยี (Jelly d’Aranyi) บรรเลงเดี่ยวไวโอลิน ร่วมกับ อังรี ยิล-มาร์เชซ์ (Henri Gil-Marchex) นักเปียโนชาวฝรั่งเศส ต่อมา เรเวล ได้นำงานชิ้นนี้มาเรียบเรียงสำหรับบรรเลงเดี่ยวไวโอลินกับออร์เคสตรา นำออกแสดงครั้งแรก ณ กรุงลอนดอน วันที่ 19 ตุลาคม 1924
เพลงแรกที่ แมกซิม หยิบมาบรรเลงให้ได้รับชมในค่ำคืนนี้ คือ Violin Concerto No.1 in D Major, Op.19 เป็นเพลงที่มาจาก โพรโคเฟียฟ ผู้ประพันธ์คนเดียวกับบทเพลงที่ เซตคูลอฟ บรรเลงเดี่ยวเปียโนไปเมื่อช่วงก่อนหน้านี้ โดยท่อนแรก ‘An-dantino’ ท่อนที่สอง ‘Scherzo : Vivacissimo และ ท่อนที่ 3 Moderato - Allegro moderato ถูกเวนเกรอฟตีความออกมาได้อย่างแตกต่างกันชัดเจน ลึกซึ้ง และ หนักแน่น
เพลงที่สองของแมกซิม และเป็นบทเพลงสุดท้ายก่อนเพลง encore ในค่ำคืนนี้ คือเพลง Tzigane for Violin and Orchestra ที่ประพันธ์โดย เมาไรซ์ เรเวล (Maurice Ravel) นักประพันธ์ นักเปียโน และ ผู้อำนวยเพลงชาวฝรั่งเศส
รูปแบบเพลงทั่วไปของ Tzigane ค่อนข้างจะคล้ายๆกับรูปแบบเพลง Hungarian czardas งานชิ้นนี้ออกแสดงครั้งแรกเมื่อวันที่ 26 เมษายน 1924 ณ ห้องแสดงดนตรีแชมเบอร์ ที่กรุงลอนดอน โดย เจลลี ดารองยี (Jelly d’Aranyi) บรรเลงเดี่ยวไวโอลิน ร่วมกับ อังรี ยิล-มาร์เชซ์ (Henri Gil-Marchex) นักเปียโนชาวฝรั่งเศส ต่อมา เรเวล ได้นำงานชิ้นนี้มาเรียบเรียงสำหรับบรรเลงเดี่ยวไวโอลินกับออร์เคสตรา นำออกแสดงครั้งแรก ณ กรุงลอนดอน วันที่ 19 ตุลาคม 1924

บทประพันธ์ชิ้นนี้ กำหนดให้ศิลปินเดี่ยวไวโอลินแสดงฝีมืออันเป็นเลิศ ที่เรียกว่า ‘Virtuosity’ เพื่ออวดเทคนิคการเล่นไวโอลินขั้นสูง ซึ่งแน่นอนว่าแมกซิมก็ได้วาดลวดลายและสาดพลังความเป็นตำนานให้แก่ผู้ฟังได้สัมผัส และไม่แม้แต่ผู้ฟังอย่างเดียวเท่านั้นที่ถูกสะกดเสียงไวโอลินและฝีมือการบรรเลงของ แมกซิม นักดนตรีที่ได้ร่วมเล่นกับเขาก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน แมกซิม ได้แสดงให้เห็นถึงความมีระดับของเขา ไม่ว่าจะเป็นท่อนที่ดังหรือเบาเร็วหรือช้า เสียงไวโอลินของ แมกซิม ก็ยังโดดเด่นแม่ยำ ทำให้วงบรรเลงประสานเป็นหนึ่งเดียวกันได้อย่างมีชั้นเชิง เสมือนกับทั้งวงทั้งเขาต่างเป็นอวัยวะของคนคนเดียว
หากพูดถึงนักดนตรีเพลงคลาสสิคอันดับต้นๆของโลก แมกซิม เวนเกรอฟ จะต้องเป็นชื่อแรกๆที่ถูกยกชื่อขึ้นมาพูดถึงอย่างแน่นอน แมกซิมเกิดในครอบครัวนักดนตรีอันดับต้นในเมือง Novosibirsk ประเทศไซบีเรีย บิดาเป็นหัวหน้าพาร์ทโอโบประจำวง Novosibirsk Philharmonic มารดาเป็นนักขับร้องและผู้อำนวยเพลง มีคำกล่าวว่า แมกซิมนั้นรับรู้ได้ถึงเสียงเพลงตั้งแต่ครั้งอยู่ในครรภ์มารดา
แมกซิมมีความสนิทสนมกับปรมจารย์นักเชลโลอย่าง Mstislav Rostropovich ที่ได้เปร่งทางสว่างให้แมกซิมเข้าถึงนักประพันธ์อย่าง Shostakovich และ Prokofiev เสมือนว่าทั้งสองยังคงมีชีวิตอยู่ และนั้นทำให้แมกซิมสามารถตีความผลงานเพลงของโพรโคเฟียฟได้อย่างน่าอัศจรรย์ เวนเกรอฟได้รับรางวัละดับนานาติมากมาย ทั้งยังเป็นนักดนตรีคลาสสิคคนแรกที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นฑูตทางวัฒนธรรม ‘International Goodwill Ambassador’ จาก Unicef อีกด้วย จนกระทั้งในปี 2005 เกิดอุบัติเหตุได้รับบาดเจ็บไหล่ขวาหัก ต้องพักการแสดงไปถึงสี่ปี ระหว่างนั้นแมกซิมได้ศึกษาการอำนวยเพลง จนได้เป็นผู้อำนวยเพลงหลักคนแรกในงาน Gstaad Festival Orchestra ในปี 2010
หากพูดถึงนักดนตรีเพลงคลาสสิคอันดับต้นๆของโลก แมกซิม เวนเกรอฟ จะต้องเป็นชื่อแรกๆที่ถูกยกชื่อขึ้นมาพูดถึงอย่างแน่นอน แมกซิมเกิดในครอบครัวนักดนตรีอันดับต้นในเมือง Novosibirsk ประเทศไซบีเรีย บิดาเป็นหัวหน้าพาร์ทโอโบประจำวง Novosibirsk Philharmonic มารดาเป็นนักขับร้องและผู้อำนวยเพลง มีคำกล่าวว่า แมกซิมนั้นรับรู้ได้ถึงเสียงเพลงตั้งแต่ครั้งอยู่ในครรภ์มารดา
แมกซิมมีความสนิทสนมกับปรมจารย์นักเชลโลอย่าง Mstislav Rostropovich ที่ได้เปร่งทางสว่างให้แมกซิมเข้าถึงนักประพันธ์อย่าง Shostakovich และ Prokofiev เสมือนว่าทั้งสองยังคงมีชีวิตอยู่ และนั้นทำให้แมกซิมสามารถตีความผลงานเพลงของโพรโคเฟียฟได้อย่างน่าอัศจรรย์ เวนเกรอฟได้รับรางวัละดับนานาติมากมาย ทั้งยังเป็นนักดนตรีคลาสสิคคนแรกที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นฑูตทางวัฒนธรรม ‘International Goodwill Ambassador’ จาก Unicef อีกด้วย จนกระทั้งในปี 2005 เกิดอุบัติเหตุได้รับบาดเจ็บไหล่ขวาหัก ต้องพักการแสดงไปถึงสี่ปี ระหว่างนั้นแมกซิมได้ศึกษาการอำนวยเพลง จนได้เป็นผู้อำนวยเพลงหลักคนแรกในงาน Gstaad Festival Orchestra ในปี 2010