ซึ่งความเชื่อที่ว่าก็ทรงพลังและแข็งแรงจนเชื่อว่าทุกวันนี้ ทั่วทุกมุมโลกต้องมีใครหลายคนเคยเอาชีสหรือเนยแข็งไปวางเป็นเหยื่อล่อหนูกันบ้างแน่ๆ แต่แท้ที่จริงแล้วตามที่เราเกริ่นไปข้างต้น ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเจ้าหนู อาทิเจ้าของร้านขายสัตว์เลี้ยงหรือบรรดาผู้ให้บริการกำจัดหนูก็ตาม ล้วนรู้ดีว่านอกจากหนูจะไม่ได้โปรดปรานชีสขนาดนั้นแล้ว ประสาทสัมผัสที่ไวต่อกลิ่นของพวกมัน อาจจะทำให้ชีสบางชนิดที่มีกลิ่นแรงๆ เป็นสาเหตุที่ทำให้พวกมันหนีไปด้วยซ้ำ สิ่งที่มันโปรดปรานจริงๆ คือกลิ่นหอมๆ หวานๆ ของผลไม้มากกว่า หรือหนูบางชนิดที่ก็อาจชอบกินแมลงหรือสัตว์อื่นๆ ที่ตัวเล็กกว่ามัน ซึ่งจากการทำการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างหนูกับชีสโดยตรงของ ดร. เดวิด โฮล์มส์ จากมหาวิทยาลัย แมนเชสเตอร์ เมโทรโพลิแทน ก็สอดคล้องตรงกัน ว่าหนูจะเลือกชีสก็ต่อเมื่อมันหิวเพียงพอและ ไม่มีทางเลือกที่ดีกว่าอย่างธัญพืชหรือผลไม้แล้วเท่านั้น ซึ่งหากอยู่ในสภาวะที่ขาดแคลนอาหารเจ้าตัวแสบเหล่านี้ก็จะกลายร่างเป็นสัตว์ที่กินได้ทุกอย่างอยู่แล้ว แม้แต่ของที่ไม่ใช่อาหารอย่างกระดาษลังมันก๋สอยจนเรียบ และมันก็กินของมันแบบนั้นมาก่อนที่มนุษย์จะผลิตชีสขึ้นมาด้วยซ้ำ

แล้วเจ้าความเชื่อที่ว่าหนูชอบชีสมันเริ่มมาจากไหนกันล่ะ ซึ่งก็มีคนคาดเดาไปต่างๆ นาๆ และไม่มีทฤษฎีใดมีหลักฐานรองรับเพียงพอ แต่ก็ชวนให้ได้ขบคิดต่อเอาพอสนุกสนาน ไล่ตั้งแต่แนวคิดแรกที่ว่าผู้คนสมัยก่อน มักเก็บพวกของชอบของหนูอาทิธัญพืชต่างๆ หรือเนื้อแปรรูป ไว้ในที่ปลอดภัยและมิดชิด ต่างจากเหล่าชีสก้อนยักษ์ที่ต้องอาศัยห้องที่มีพื้นที่ให้อากาศไหลเวียนบ้าง ก็จะถูกเก็บในบริเวณที่ต่ำลงมาและไม่ได้รัดกุมพอ เหล่าชาวบ้านจึงมักได้เห็นรอยแทะรอยกัดจากฟันของหนูบนก้อนชีสของพวกเขา จนคิดว่าพวกมันน่าจะบุกเล็ดรอดเข้ามาเพราะชอบกินชีส ซึ่งแท้จริงแล้วมันอาจจะเพียงแค่หาของโปรดของมันไม่เจอก็ได้ นอกจากนี้ยังมีโอกาสที่จะเกี่ยวข้องกับเรื่องเล่าของของตำนานกรีกโบราณเกี่ยวกับ เทพอพอลโล จากการที่ผู้คนมักพบว่ามีรูปปั้นหนูขาวอยู่ตามวิหารโบราณของเทพอพอลโล โดยตัวเทพอพอลโลเองก็มีชื่อว่า สมีนเธอุส แปลว่าหนู และลูกชายคนหนึ่งของเทพอพอลโลนามว่า อาริสเธอุส ก็ถูกนับถือยกย่องว่าเป็นผู้สอนมนุษย์ชาติให้รู้จักกับการทำชีส บางทีเรื่องราวการเชื่อมโยงแบบแปลกๆ เหล่านี้จึงอาจเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดก็เป็นได้ นอกจากนี้ ดร. โฮล์ม ยังกล่าวอีกว่าภาพของหนูกับก้อนชีสเหลืองใหญ่ๆ มีรูกลวงๆ ดูเป็นอะไรที่เข้าท่ามากสำหรับเหล่าศิลปิน มันให้ความรู้สึกที่ถูกต้อง สวยงามและเหมาะสม ซึ่งจึงไม่แปลกที่มันจะถูกบันทึกอยู่ในภาพวาดมาตั้งแต่สมัยโบราณยาวจวบจนมาอยู่ในการ์ตูนบนจอมือถือของเด็กๆ ในยุคสมัยนี้นั่นเอง