รีวิว O'Dessa ภาพยนตร์มิวสิคัลดราม่าแฟนตาซี ผลงานการกำกับฯ ของ Geremy Jasper ซึ่งนอกจากกำกับฯ แล้วยังรับหน้าที่เขียนบทเองอีกด้วย เขาผู้นี้เคยฝากผลงานไว้กับภาพยนตร์เรื่อง Patti Cake$ เมื่อปี 2017 โดยภาพยนตร์เรื่องนี้ได้พาเราเข้าไปในโลกดิสโทเปีย โลกที่เต็มไปด้วยแสงไฟนีออน ทุกพื้นที่ที่ตัวละครเดินผ่านมักเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยความสกปรกและความอึดอัด ส่วนเครื่องแต่งกายของตัวละครแทบจะทุกตัวสวมใส่เสื้อผ้าราวกับหลุดออกมาจากคอนเสิร์ตเพลงร็อก
O'Dessa ภาพยนตร์ที่มีความยาวถึง 106 นาที บอกเล่าเรื่องราวของ O'Dessa (รับบทโดย Sadie Sink) หญิงสาวชาวไร่ผู้โดดเดี่ยวที่ตัดสินใจออกเดินทางเพื่อแสวงหาโชคชะตาอันยิ่งใหญ่ของตนเอง เธอออกเดินทางในวันที่แม่ของเธอจากไปอย่างสงบ สิ่งที่เธอมีติดตัวคือกีตาร์ที่ได้รับการส่งต่อมาจากรุ่นสู่รุ่น
เธอตัดสินใจออกเดินทางไปยังเมือง Satylite เพื่อหางานทำ แต่สิ่งที่เธอได้พบกลับเป็นแหล่งมั่วสุมและความโหดร้ายที่ถูกสะกดจิตโดย Plutonovich (รับบทโดย Murray Bartlett) บุคคลผู้มีอิทธิพลมากที่สุด เขาคนนี้เปรียบเสมือนเจ้าของเมืองที่คอยกล่อมประสาทประชาชนในเมืองโดยมาในรูปแบบของพิธีกรรายการเกมโชว์ที่ไม่มีวันจบสิ้น
นอกจากเรื่องราวการผจญภัยของเธอแล้วภาพยนตร์เรื่องนี้ยังสอดแทรกเรื่องราวความรักของตัวละครไว้ด้วย โดย O'Dessa ได้พบกับ Euri (รับบทโดย Kelvin Harrison Jr.) ผู้เป็นดาวเด่นในผับแห่งหนึ่งใน Satylite พวกเขาตกหลุมรักกันในทันทีเมื่อได้พบกัน แต่แล้วทั้งคู่ก็ได้พบกับเหตุการณ์ที่ทำให้ต้องแยกจากกัน O'Dessa จึงต้องเริ่มวางแผนเพื่อกำจัดศัตรูอีกครั้งเพื่อนำคนรักของเธอกลับมาให้ได้
หลายๆ คนพออ่านมาถึงตรงนี้อาจสงสัยว่าเส้นเรื่องจริงๆ คืออะไร ถ้าตอบตรงๆ คือเรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ที่ยำรวมทุกสิ่งทุกอย่างที่กล่าวมาอย่างละนิดละหน่อย หยิบเส้นเรื่องตรงนั้นมาเติมใส่ตรงนี้เพื่อให้กลายเป็นภาพยนตร์หนึ่งเรื่อง ทุกเนื้อหาที่นำมาใส่ค่อนข้างที่จะตื้นเขิน รับชมไปเรื่อยๆ พอมีจุดที่น่าสนใจเส้นเรื่องกลับเปลี่ยนจนบางทีตามไม่ทัน เรียกได้ว่าเปลี่ยนเส้นเรื่องทุกห้านาทีจริงๆ
ท่ี่หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมารีวิวนั้นเนื่องจากได้อ่านเรื่องย่อของภาพยนตร์คร่าวๆ แล้วทำให้นึกถึงภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่อง Coco ที่ดำเนินเรื่องโดยตัวละครหลักที่มีกีตาร์ติดตัวเช่นกัน แต่ความจริงแล้วมีแค่กีตาร์เท่านั้นที่เหมือนกันทั้งสองเรื่อง
ที่กล่าวมาก็ใช่ว่าเรื่องนี้จะไม่มีข้อดี อย่างที่บอกไปตั้งแต่ต้นว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นแนวมิวสิคัล ผู้ชมจะได้ฟังเพลงเพราะๆ จาก O'Dessa ทุกๆ สิบนาที ถ้าให้กล่าวชมนอกจากด้านเพลงแล้วคงเป็นการแสดงของ Sadie Sink เพราะถือว่าเป็นคนที่แบกทุกอย่างไว้ตลอดทั้งเรื่อง ทั้งการแสดงสีหน้าแววตาและเสียงร้อง บอกเลยว่าเธอทำดีที่สุดแล้วกับการแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้
นับเป็นภาพยนตร์อีกหนึ่งเรื่องที่พยายามหยิบยกจุดเด่นและนำเสนอโลกดิสโทเปียออกมา หากแต่การนำเสนอนั้นถ่ายทอดออกมาอย่างผิวเผินจนแทบจะจับประเด็นหลักไม่ได้ แต่ถ้าใครอยากรู้เรื่องราวของ O'Dessa สามารถเข้าไปรับชมได้ทาง Disney+ Hotstar
เรื่อง: อารียา อรรคสุข