“ศาสนาคือยาฝิ่น”
นี่เป็นประโยคที่ถูกนำมากล่าวใหม่โดย วลาดิเมียร์ เลนิน (Vladimir Lenin) ผู้นำคอมมิวนิสต์คนสำคัญของสหภาพโซเวียต โดยเขาได้อิงจากงานเขียนของ คาร์ล มาร์กซ์ (Carl Marx) ว่าด้วย ‘ยาฝิ่นและศาสนา’ โดยมีเนื้อในว่าศาสนาทำให้คนมอมเมาไม่ต่างจากยาฝิ่น ซึ่งภายหลังกลายเป็นหัวใจหลักของ ‘คอมมิวนิสต์’ คือการปฏิเสธต่อการนับถือศาสนา ทำให้ชาวจีนในช่วงการมาของคอมมิวนิสต์ขาดช่วงกับสิงยึดเหนียวจิตใจไปอีกนาน
ชาวไทยอาจคุ้นหูว่า “ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวที่นับถือเจ้าแม่กวนอิมโดยด้วยการไม่ทานเนื้อ (วัว)” ความจริงนั้นไม่ใช่ เพราะในประเทศจีนยังมีกลุ่มคนที่ยังสืบสานธรรมเนียมอยู่ อันแสดงว่าร่องรอยความศรัทธาในจีนยังไม่เสื่อมไปเพราะคอมมิวนิสต์

ทำไมคนนับถือเจ้าแม่กวนอิมถึงไม่กินเนื้อสัตว์?
ความเชื่อดังกล่าวมาจากเรื่องราวของพระโพธิสัตว์กวนอิม หรือ ‘เจ้าแม่กวนอิม’ ซึ่งพระองค์เคยเสวยชาติเป็นพระธิดาพระนามว่า ‘เมี่ยวซ่าน’ พระองค์ไม่เสวยเนื้อสัตว์เลยตั้งแต่อยู่ในครรภ์ของพระมารดาและตลอดพระชนม์ชีพ เมื่อเจ้าหญิงเมี่ยวซ่านเติบใหญ่จึงตัดสินใจออกบวช แต่บิดา (ฮ่องเต้) ไม่เห็นด้วย เลยพยายามทำทุกวิถึทางในการขัดขวางความตั้งใจของเจ้าหญิงเมี่ยวซ่าน
ท้ายที่สุดด้วยความโมโห พระบิดาจึงรับสั่งให้ทหารพาตัวเมี่ยวซ่านกลับมาประหาร แต่เจ้าหญิงได้รับความช่วยเหลือจากเทพพยัคฆ์ ทำให้รอดพ้นจากการประหารมาได้ หลังจากนั้นเจ้าหญิงเมี่ยวซ่านบำเพ็ญเพียรจนจนกลายเป็นพระโพธิสัตว์ ‘กวนอิม’

ต่อมาฮ่องเต้เกิดประชวร เจ้าแม่กวนอิมจึงปลอมตัวไปรักษาพระบิดาจนหายเป็นปลิดทิ้ง ฮ่องเต้เกิดดวงตาเห็นธรรม จึงตัดสินใจสละราชสมบัติและออกบำเพ็ญธรรม แต่ด้วยกรรมที่เคยทำเอาไว้หลายอย่าง พระองค์จึงเกิดใหม่เป็นวัว และเป็นเช่นนี้อีกหลายพันชาติ เหตุฉะนี้นี้จึงทำให้เจ้าแม่กวนอิมไม่เสวยเนื้อวัวอีกเลย เพราะเชื่อว่านั่นคือพระบิดาของตน และส่งผลต่อผู้ที่นับถือเจ้าแม่กวนอิมด้วยเช่นกันที่ถือไม่ยอมทานเนื้อวัว บางคนที่เชื่อถืออย่างหนักแน่นก็จะไม่เสวยเนื้อเลยในเทศกาลกินเจ เหมือนกับที่เจ้าหญิงเมี่ยวซ่านเคยประพฤติตนนั่นเอง
คอมมิวนิสต์ไม่ได้ ‘ปิดกั้น’ ศาสนาขนาดนั้น
จริงอยู่ที่พรรคคอมมิวนิสต์จะมีนโยบายคือการเป็น ‘อเทวนิยม’ กล่าวคือไม่นับถือศาสนาใดๆ เลย ในธิเบต ทั้งวัด พระ และแม่ชีต่างอยู่ภายใต้อำนาจคอมมิวนิสต์ทั้งนั้น รวมถึงชาวมุสลิมอย่างชาวอุยกูร์ด้วย แต่ในปี 1982 พรรคประกาศกฎหมายใหม่ ให้อิสระแก่การนับถือศาสนา แต่ยังมีข้อจำกัดคือให้ “ปฏิบัติกิจกรรมทางศาสนาทั่วไป” กล่าวคืออยู่ภายใต้การตรวจสอบของรัฐบาลก่อน รัฐบาลมีการเสนอความคิดว่าศาสนาคือสิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์ และพระเจ้าหรือสิ่งเหนือธรรมชาติไม่มีอยู่จริง เพื่อที่ศาสนาจะอยู่ต่อไปได้ พรรคคอมมิวนิสต์เสนอให้ศาสนิกพยายามปรับวิถีให้เข้ากับแนวคิดชาตินิยมจีนมากที่สุด ซึ่งท้ายที่สุดแล้วไม่ได้ผลดังคาด

จากกระทู้พันทิปในหัวข้อเกี่ยวกับการทานเนื้อวัวของคนไทยและคนจีน พบว่ามีคนแสดงความเห็นว่าเคยพบหมู่บ้านในประเทศจีนที่ยังถือวิถีการไม่กินเนื้ออยู่ คาดว่ายังมีกลุ่มคนที่ยังคงมีศรัทธาต่อความเชื่ออย่างแรงกล้าจนผ่านช่วงยากลำบากภายใต้พรรคคอมมิวนิสต์ได้ และกลุ่มคนเหล่านี้ยังรวมถึงชาวจีนโพ้นทะเลที่หนีความแร้นแค้นมายังประเทศไทย และประเทศอื่นๆ ในแถบเอเชียตะวันเฉียงใต้อีกด้วย ปัจจัยหนึ่งที่เป็นไปได้ว่าชาวจีนหันกลับมาทานเนื้อวัว อาจเป็นเพราะความยากลำบากที่จำเป็นต้องหยุดเลือกทาน และทานทุกอย่างเพื่อความอยู่รอด

กลายเป็นว่าชาวไทยเชื้อสายจีนกลายเป็นผู้สานต่อศรัทธาจากชาวจีนในแผ่นดินใหญ่ ธรรมเนียมการไม่ทานเนื้อสัตว์ หรือเนื้อวัวยังคงแพร่หลายอยู่ในประเทศไทย และทุกช่วงการทานเจก็ยังคงคึกคัก ซึ่งนอกจากการไม่ทานเนื้อสัตว์จะช่วยให้เกิดความสบายใจ จิตใจผ่องใสแล้ว การงดเนื้อสัตว์ยังช่วยส่งเสริมสุขภาพที่ดีได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องควบคุมปริมาณสารอาหารให้ดี โดยเฉพาะแหล่งโปรตีนที่พบได้น้อยในพืช