‘ฤดูหนาว’ ไม่เหงาแล้ว การกลับมาอีกครั้งของซีรีส์ ‘ฤดู’ เพลงสดใสท้าลมหนาวของ PARADOX

20 ธ.ค. 2566 - 08:45

  • พูดคุยกับวง Paradox ทำความรู้จักเพลง ‘ฤดูหนาว’ รวมถึงเบื้องหลัง และการเติบโตของวงที่จะเข้าใกล้เลข 3 เต็มที

paradox-interview-SPACEBAR-Hero.jpg

ในวันที่ภาพยนตร์เรื่อง ‘SuckSeed ห่วยขั้นเทพ’ ออกมาในปี พ.ศ. 2554 บทเพลง ‘ฤดูร้อน’ ได้รับความนิยมฟังกันอย่างล้นหลาม จนเรียกได้ว่าเป็นเพลงที่เด็กมัธยมในช่วงนั้นใครๆ ก็เล่นกันบนเวทีคอนเสิร์ตระดับเล็กไปถึงใหญ่ ทั้งๆ ที่เพลงถูกปล่อยออกมาตั้งแต่ปี  พ.ศ. 2543 ในอัลบั้ม ‘Summer’ และเป็นเพลงที่ ต้า Paradox ถึงกับบอกว่า “กัดฟันหลับตาเล่น” เพราะกลัวกระแสตอบรับไม่ดี 

ถัดมาในปัจจุบันนี้เพลงฤดูร้อนได้กลายเป็นตำนานอีกบทของวง Paradox อีกทั้งเกิดเป็นซีรีส์ 3 ฤดู ที่เกิดจากการแซวขำๆ ของแฟนเพลง เริ่มจาก ‘ฤดูฝน’ อันเปรียบถึงการเติบโตจากการพลัดพรากสู่เพลงล่าสุด ‘ฤดูหนาว’ ถึงฟังแล้วจะหนาว แต่กลับอบอุ่นกว่าที่คิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การร่วมงานของ แหลม-สมพล รุ่งพาณิชย์ นั้นทำให้เพลงสดใสกว่าเดิม เป็นการโต้ลมหนาวให้กับวง  

Spacebar VIBE มีโอกาสได้มาพูดคุยกับ ต้า-อิทธิพงศ์ กฤดากร ณ อยุธยา, สอง- จักรพงศ์ สิริริน, บิ๊ก-ขจัดภัย กาญจนาภา และ โจอี้-เสรฐพร กฤดากร ณ อยุธยา เพื่อเป็นการทำความรู้จักเพลง รวมถึงเบื้องหลัง และการเติบโตของวงที่จะเข้าใกล้เลข 3 เต็มที

paradox-interview-SPACEBAR-Photo01.jpg

‘ฤดูหนาว’ บทเพลงที่สามของซีรีส์ฤดู

ทำไมแต่ฤดูทำไมมันถึงนานขนาดนั้น

ต้า: ฤดูแต่ละอัน เพลงแต่ละเพลงส่วนใหญ่มันไม่ได้กำหนดไว้ มันจะมาตามจังหวะเฉยๆ ครับ จังหวะชีวิต อย่างฤดูร้อนก็มาด้วยความบังเอิญ แล้วมันยากมากในการกำหนดว่าจะมีเพลงนี้เพลงนั้น ส่วนใหญ่แรงกระตุ้นก็จะมาจากแฟนเพลงแซวมากกว่า เริ่มจากฤดูร้อน พอเริ่มดัง เขาก็จะชอบแซวว่ารอฤดูนั้น ฤดูนี้อยู่นะ เราก็ได้แต่เก็บไว้เป็นมิชชั่นไว้ 

คือตอนแรกไม่ได้คิดเลยเป็นสิบปีเพราะมันยากมาก แค่ฤดูมันก็เป็นคำที่ใส่ไว้เพื่อร้องเป็นเพลงยาก มันก็เลยไม่ได้คาดคิด มันเริ่มมามีไอเดียที่จะเริ่มแต่งเพลงที่เกี่ยวกับฤดูต่อเนื่องก็ตอนเพลงฤดูฝน บังเอิญจะไปเป็นวิทยากร แล้วเขาจะชอบให้เล่นกีตาร์โปร่งตัวนึง ร้องอะไรก็ได้ ผมก็ลองซ้อมเพลงฤดูร้อนไป อยู่ดีๆ ฟ้าผ่าเปรี้ยงตอนนั้นมันเป็นฤดูฝน ฟ้ามันผ่าดังมาก ก็เลยได้ไอเดียร้องเป็นฤดูฝนไป แต่แค่จากคำว่าฤดูร้อนเป็นฤดูฝนเฉยๆ (ทำนองเหมือนเดิม) เราก็เลยเริ่มมีไอเดียแต่งเพลง กลายเป็นว่าคิดเพลงฤดูฝนได้ เกิดเป็นไอเดียว่าสงสัยจะต้องแต่งให้ครบฤดู

paradox-interview-SPACEBAR-Photo02.jpg

ที่มาจริงๆ มันเกิดจากช่วงโควิด แล้วไม่มีวาระจะแต่งอะไรเลยด้วยซ้ำ แค่แบบร้องเล่นๆ อยู่กับบ้าน คนชอบมีประโยคยอดฮิตคือ "เราจะผ่านไปด้วยกัน" ก็เลยคิดเล่นๆ ว่าจะร้องเป็นเพลงให้กำลังใจ ไม่มีแก่นเลย มีแค่จับมือผ่านไปด้วยกันเรื่องร้ายๆ ร้องเล่นๆ แล้วมันก็จะมีประโยคพวกเธอกับฉันละ เลยขมวดกันเป็นเพลงความรักได้ผสมกันไป  ซึ่งเป็นความรักที่เป็นมิตรภาพเพื่อนใหม่ก็ได้  สุดท้ายก็งอกร้องเป็นฤดูหนาวอาจจะหนาวแต่ไม่เหงา เป็นประโยคนี้ ปิ๊งเลย ได้ไอเดีย 

เจตนาจริงๆ อยากให้เป็นเพลงให้กำลังใจคนในช่วงกว้างเลยๆ ไม่ใช่แค่ช่วงโควิด ประมาณว่าถ้าไม่มีวันนั้นก็ไม่มีวันนี้ มันเหมือนคล้ายๆ เพลงโชคชะตาชีวิต วันนี้อาจจะแย่ อกหัก ต้องอยู่คนเดียว จริงๆ มันอาจเป็นเส้นทางเดินดีๆ ในอนาคต ประมาณนั้น พอมีไอเดียนี้ สิ่งที่เราต้องเจอความเศร้าอาจเป็นเรื่องที่ทำให้เรามาเจอกันในวันนี้ เราเลยอยากทำเพลงเชื่อมฤดูร้อน ฝน หนาว เป็นตัวละครเดียวกัน เป็นไตรภาคแบบ happy ending

paradox-interview-SPACEBAR-Photo03.jpg

ฤดูร้อนเป็นช่วงพลัดพรากช่วงมัธยมต้น แยกโรงเรียนกันไปเหมือนโรงเรียนญี่ปุ่น ช่วงฤดูฝนเป็นช่วงคิดถึง อาจจะโตแล้ว อยู่มหาลัย อาจคิดถึงสถานที่เก่าๆ ที่เคยเจอ พอฤดูหนาวเป็นช่วงทำงานละ อาจจะได้มาเจอในบรรยากาศคอนเสิร์ต หรือบรรยากาศหนาวๆ ซึ่งเขาอาจจะมาเจอกับคนใหม่ก็ได้ หรืออาจจะเจอกับคนเก่าที่พลัดพรากจากไปก็ได้ในวันที่ดีกว่าเดิม อยากให้จบแบบปลายเปิด  

เพลงฤดูหนาวแต่กลับมีความสดใสกว่าที่คิด 

ต้า: คือโทนอารมณ์มันมาตั้งแต่เดโม่เลยครับ มันจะเป็นความสว่างเหมือนท้องฟ้าฤดูหนาวตอนสี่โมงเย็น สีฟ้าสดใส นึกไปถึงภาคเหนือ เย็นๆ มันจะโปร่งๆ มันจะเป็นบรรยากาศนั้นไปเลย ผมว่าคนเวลานึกถึงอากาศหนาวคือความเหงา ความเศร้า แต่ทำไมแว่บที่แต่งเพลง มันไม่ได้เกิดอารมณ์นั้นเลย แต่มันเป็นบรรยากาศไปเที่ยวกับเพื่อนที่ภาคเหนือ แบบคริสต์มาส ปลายปี ล้อมกองไฟกับแก๊งเพื่อน คึกคัก   

สอง: ฤดูร้อนขึ้นมาก่อนแล้วมันก็สบายๆ แต่พอฤดูฝนมันเริ่มกดดัน พอเข้าเดโม่ก็รู้สึกว่าเซอร์ไพร้ส์เหมือนกันเพราะร้อนกับฝน แบบร้อนแทนที่จะสว่างมันก็เป็นเพลงดาร์กๆ ฝนก็พอเข้าใจได้ แต่หนาวนี่มันควรจะดาร์ก แต่เดโม่มันดันสว่าง ตรงข้ามกันหมดเลย จริงๆ จะกดดันเขาให้ทำเพลงดาร์กหมดเลยด้วยซ้ำ แต่ว่าฟอร์มเพลงมันสมบูรณ์แล้วก็โอเค

paradox-interview-SPACEBAR-Photo04.jpg

การทำงานกับ แหลม สมพล เป็นยังไงบ้าง 

ต้า: เมื่อก่อนจะไปทัวร์กับพี่แหลม ก็จะนึกถึงความสดใสของเสียงพี่แหลมตลอด โดยเฉพาะในเพลง (ฤดูหนาว) ที่ประสานคู่กันเสียงสูง ก็นึกในใจว่าน่าจะมีคนร้องปรี๊ดๆ หน่อย เป็นเสียงพี่แหลมก็ดี ก็วนเวียนอยู่อย่างนั้นในไอเดีย ตอนไปผมไปดูเขาร้องเพลง ‘ยินดีที่ไม่รู้จัก’ ผมชอบดูคนชมแต่ละวง ก็รู้สึกว่ามันสนุกดี พอมีเพลงฤดูหนาว ก็นึกว่าถ้ามีเสียงพี่แหลมอยู่ในเพลงก็น่าจะสนุก เวลาไปทัวร์แจมกันก็จะมีเสียงวนเวียนอยู่ แต่ไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้ร่วมงาน โชคดีที่คุณยาของค่าย Genie เขาประสานให้้ เลยได้ฝันที่เป็นจริง ถือว่าเป็นเพลงพิเศษ 

สอง: ตอนแรกมันแปลกอ่ะ เพราะมีคนมาบอกว่ามันควรเป็นคู่ดูโอ้ชายหญิง แต่พอเป็นชายชายมันจะเป็นยังไงวะ   

ต้า: เพลงนี้ก็จะจั๊กจี้หน่อย เพลงนี้มันถูกวางไว้ด้วยความที่ว่าพี่แหลมไม่ได้มาแจมแต่แรก มันก็จะเป็นประสานเสียงสูง แล้วร้องคนเดียว แต่พอร้องคู่ ก็รู้สึกจั๊กจี้ดีเหมือนกัน มันดูจิ้น (หัวเราะ) แต่คนฟังจริงๆ มันไม่ได้คิดเพราะมันไม่ได้แบ่งพาร์ตอะไรเหมือนเพลงทะเลสีดำขนาดนั้น

ทำไมถึงถ่ายทอดภาพยนตร์เรื่องสั้นแบบนั้น  

ต้า: เรื่องสั้นเนี่ย ตอนแรกเราโฟกัสไปที่เอ็มวีก่อนครับ แล้วก็โชคดีที่ได้ศิลปินอีกท่านคือ เติ้ด Tilly Birds นักร้องนำที่ชอบทำเอ็มวีอยู่แล้ว อย่างเช่นเพลงผู้เดียว ก็เลยติดใจแสงสีในเอ็มวีที่เขากำกับ เลยทาบทามขอเผื่อเขาว่างมากำกับเอ็มวี เพราะเราต้องการโทนสว่างให้กับเพลง ทางค่ายก็เลยมีไอเดียบรรเจิด อยากจะมีหนังสั้นของเขาไป มันก็เลยบานเป็นหนังสั้นประกอบด้วย  

สอง: เหมือนมันเล่าไม่หมดด้วยแหละ ในเพลงมันเล่าไม่หมด 3 นาที จริงๆ มันก็คือเอ็มวียาวแหละ เป็นการเล่าเรื่องต่อให้เข้าใจมากขึ้น มีมิติมากขึ้น   

การทำงานกับคนรุ่นใหม่อย่างเติ้ดเป็นยังไง

ต้า: ในเรื่องการทำงานเลย สิ่งที่เห็นคือระบบการทำงานของทีมเติ้ดคือมีอาชีพมากๆ ผมประทับใจ โดยเฉพาะคนตัดต่อของเอ็มวี เขาสามารถยกกองกันมานั่งแก้กันที่ห้องประชุมได้เลย รวดเร็วมาก มันก็จะต่างจากสมัยก่อนที่จะทำอะไรที ด้วยเทคโนโลยีแหละครับ พอคนรุ่นใหม่ไฟแรงก็จะได้เปรียบคนยุคเก่าหน่อย  เขาจะยกคอมแล้วปรับได้เลย

สอง: อย่างถ่ายภาพก็เอาคอมมาให้ดูได้เลย คือกองเหมือนเดิมแหละ แต่ความไวคือบ้าพลังมาก เป๊ะๆ กันเลย เขาจะมีกองเล็กย้ายๆ ไปเรื่อยๆ

ต้า: คือระบบของคนรุ่นใหม่เขาจะแบ่งงานกันแบบเป็นจ๊อบกันไปเลย มีงานของตัวเอง มันก็แปลกดีเหมือนกัน แต่ผมประทับทีมเติ้ดนะ

paradox-interview-SPACEBAR-Photo05.jpg

PARADOX กับการเติบโตเข้าใกล้เลข 3 ของวง

วงก็ผ่านมา 29 ปี นานมาก  

สอง: (หัวเราะ) พูดแล้วรู้สึกยังไงไม่รู้

ต้า: 29 ปี ยังรู้สึกไม่นานมาก แต่ถ้าอีกหนึ่งปีก็จะกลายเป็น 30 ปี มันจะรู้สึกเป็นวัยกลางคนอ่ะ เริ่มแก่ละ นี่แค่อายุวงนะ ถ้าเป็นคนคือจีบใครไม่ค่อยมองละนะ

สอง: เริ่มหง่อม (หัวเราะ)

paradox-interview-SPACEBAR-Photo06.jpg

พอมาปีนี้เป็นไงบ้าง 

ต้า: ความสนุกคือเราจะเห็นวิวัฒนาการของคนดูครับ แม้กระทั่งระบบของการฟังเพลงก็จะเปลี่ยนไป อันนี้คือความสนุก เพราะอยู่กันมาตั้งแต่ยุคแคสเซ็ต ตลับเทป กลายเป็นซีดี เป็น MP3 แต่ละช่วงเวลา พฤติกรรมคนก็จะเปลี่ยนไป ยืนอยู่บนเวทีมองลงไปก็จะเห็นพฤติกรรมคนดูที่เปลี่ยนไป สมัยก่อน alternative คนก็จะแต่งตัวบ้าๆ มาคอนเสิร์ต กระโดดโลดเต้น พอมีคอนเสิร์ตเมื่อไหร่รู้กันต้องตีกันเละ อันนี้เป็นยุคนั้น พอยุคต่อไปก็จะเห็นเลยว่าคนจะชอบถ่ายบันทึก แล้วไลฟ์สด เผื่อแผ่เพื่อน พอเล่นเพลง ปึ้ง! คนจะยกมือถือพร้อมกัน ปึ้ง! แล้วมองจากเวทีมันน่าตื่นตาตื่นใจมาก ก็เห็นเลยว่ามันเปลี่ยน   

แล้วพี่ๆ แต่ละคนคิดยังไงกับเรื่องนี้ 

ต้า: ในอดีตจะมองว่าทำไมคนที่มาทะเลาะตีกัน หรือเรื้อนหน้าเวทีทำไมเขาทำแบบนั้น แต่พอคิดจริงๆ เราจะเห็นระหว่างทางว่าก่อนที่เขาจะออกจากบ้านที่เขาใช้ความพยายามมากเพื่อเดินทาง กินข้าว ต่างๆ เราจะรู้สึกประทับใจในตัวคนที่มาดูมากๆ หรือแม้พฤติกรรมยกมือถือถ่าย ผมว่าถ้ามองส่วนตัวผม ผมจะคิดว่าเขาอุตส่าห์หาทางเข้ามาได้ เขาก็มีความอยากจะดูเราเยอะมากแล้วนะ แล้วก็การที่เขาจะถ่าย ผมก็มองเป็นเรื่องดีว่าเขาช่วยโปรโมตเรา แชร์ เพราะฉะนั้นมันก็คือความสุขของเขา ไม่ได้มองว่า ทำแบบนี้มันจะไม่สนุกนะ ผมไม่ได้มองมุมนั้นเลย เพราะเขาให้เกียรติเรา ทำให้คนเต็มหน้าเวทีก็สุดยอดแล้ว

paradox-interview-SPACEBAR-Photo07.jpg

บิ๊ก: ผมชอบถ่ายคนดู (หัวเราะ) ก็ไม่แปลกที่คนดูจะถ่าย เพราะผมก็ชอบถ่ายคนดูเหมือนกัน แต่ไม่ซีเรียสครับ ผมก็พยายามไม่ถ่าย เพราะมันดูอู้งาน ยังไงก็ได้ครับ

โจอี้: ผมก็ไม่ติดอะไรเหมือนกันครับ คนที่ถ่ายเขาก็ไม่ได้ถ่ายตลอดเวลา พอคนนึงถ่ายก็สลับกับคนนี้ เหมือนเก็บแค่ช่วงสั้นๆ 2-3 เพลง แต่ส่วนตัวเวลาผมแทบจะไม่ถ่ายเลย ชอบในความบรรยากาศ เพราะเวลาเราไปดูเรามีโอกาสแค่ครั้งเดียวที่ดู

paradox-interview-SPACEBAR-Photo08.jpg

สอง: คล้ายๆ กันเลยครับ เหมือนเรามองว่าแต่ช่วงเวลายุคสมัยมากกว่า ยุคเราตอนนั้นมันไม่มีมือถือ ดังนั้น จริงๆ จะไม่เมาไม่เมา ถ้าเขาเลือกมาดูแล้ว แม้แต่คนที่ดูรอบนอกที่เราเห็นเขาเอนจอย มันก็โอเคมากแล้ว ผมว่าพอคนเลือกที่จะมาแล้วยกมือถือถ่าย เขาก็บันทึกโมเม้นต์เขาอ่ะ สองคือเขาออกมาเจอประสบการณ์มากกว่า ดังนั้น คนดูยุคนี้ออกมามากกว่าสมัยก่อนด้วยซ้ำ สมัยก่อนกว่าจะเลือกที่จะไป อาจจะลำบากกว่า ตอนนี้คอนเสิร์ตอ่ะ คนเลือกออกมามากกว่า ดังนั้นไม่เป็นไรเลย สนุก มันแล้วแต่ว่าเราจะมองยังไงมากกว่า ยุคสมัยมันก็มีเรื่องที่มันสนุกเรื่อยๆ ตลอด ยังไงเขาก็คือแฟนเพลง   

รู้สึกกดดันไหมท่ามกลางวงใหม่ๆ  

ต้า: กลัวตกยุค 

สอง: อะ ...อ้าว (หัวเราะ) ยังไงครับ

ต้า: พื้นฐานผมเชื่อว่าหลายๆ วงก็จะเป็น กลัวตกยุคนี้หมายความว่าเหมือนคนดูเริ่มเปลี่ยนรุ่น ส่วนใหญ่จะชอบอำกันเล่นๆ ว่า ทุก 5 ปี คนจะเปลี่ยน เหมือนวัยรุ่นพอโตไปเขาก็จะเริ่มไปสนใจอย่างอื่น ระยะความเปลี่ยนแปลงมันจะอยู่ประมาณ 5 ปี เพราะฉะนั้น ทุกๆ 5 ปี เราก็จะหวั่นๆ ว่า เอ๊ะ ทำไมช่วงนี้คนเปลี่ยนหน้าไป ความตื่นเต้นจะไปอยู่ในรอยต่อนั้น มันก็จะมีความกังวลเล็กน้อย แต่สุดท้ายมันควบคุมอะไรไม่ได้ สิ่งที่ทำได้ก็คือทำงานต่อเรื่อยๆ ครับ อย่างที่เกริ่นไปว่าจริงๆ ถ้ายุคนี้ผมยิ่งชอบ ถ้าใครถ่ายมือถือ ผมจะรู้สึกว่าเป็นช่องทางโปรโมต เหมือนผึ้งที่เก็บละอองเกสรไปเผยแพร่ แล้วเพื่อนมาเห็นว่ามันมีวงนี้อยู่บนโลกเหรอ ก็อยากจะออกมาสนุก เป็นการช่วยเผยแพร่ให้เรา สรุปก็คือสิ่งที่น่ากังวลอาจจะเป็นความเปลี่ยนผ่านของช่วงของยุค เคล็ดลับคือเราก็พยายามออกงานให้ต่อเรื่อง

paradox-interview-SPACEBAR-Photo09.jpg

สอง: รุ่นเก่าเขาก็ฟังแหละ แต่อาจจะไม่ค่อยมีแรงมาละ มีภารกิจมีงานมีการ  

ต้า: แต่อนาคตไม่แน่นอนจริงๆ สิ่งที่ทำได้คือเราพยายามพัฒนาผลงานตัวเองให้ยืดหยุ่นอยู่ตลอด แต่ก็อาจจะไม่ต้องไปถึงขั้นว่า โหย ไปตามสมัยเขามาก เพียงแต่ว่าอาจเป็นวิธีการสื่อสาร ไม่ใช่ตัวเพลงโดยตรง เช่น การบริหารเพจ ยูทูบ ที่มันกลมกลืนไปกับยุคสมัย อันนี้ช่วยได้ 

สอง: ติดต่อกับแฟนคลับแบบกันเอง เมื่อก่อนอาจเป็นจดหมาย แฟนซีนไรงี้ มีกระทู้ตอบกัน ตอนนี้ก็เป็นโซเชียล

ต้า: โชคดีที่ผลงานเพลงของวงส่วนใหญ่จะเป็นแนวทดลองครับ มันจะไม่ได้ตายตัวถึงขั้นทางนั้นก็ทางนั้นเลย อันนี้โอกาสที่แฟนคลับจะโตไปทางเดียวก็จะไปพร้อมกันสูง แต่พอเป็นนักทดลองไปเรื่อยๆ มันอาจจะปรับเข้ากับบรรยากาศของยุคแต่ละสมัยได้ด้วยครับ

paradox-interview-SPACEBAR-Photo10.jpg

สอง: เมื่อวานเป็นดีเจแทน สัมภาษณ์ Scrubb ที่ออกซิงเกิลใหม่หลังหายไป 5 ปี ก็คุยทั่วไป ตอนหลังเขาก็คุยว่า เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไร เขาทำไปเรื่อยๆ แหละ ไม่รู้ว่ามีสูตรไหม เหมือนมองคล้ายๆ กันว่าสุดท้ายมันกลับมาที่เพลง เราทำเพลงให้ดีก่อน มันอาจจะไม่ ณ จังหวะเวลานี้ก็ได้ อาจต้องรอสัก 7 ปี ที่เหลือเราค่อยไปเรื่อยๆ มากกว่า เขาก็พูดขำๆ ว่าไปเฟสติวัลแล้วดูรายชื่อวง ถ้าไม่มี Scrubb หรือ Paradox หรือวงในรุ่นแล้ว แต่ว่ามันก็ยังเล่นกันอยู่เนอะ ก็ไม่ได้ซีเรียสขนาดนั้น จะมีรุ่นไหนเราก็เล่นด้วยได้  

ต้า: อีกอย่างนึงคือเรื่องการทำงานอย่างต่อเนื่องครับ คือเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะการเล่นคอนเสิร์ต ถ้าวงไหนหยุดเล่นคอนเสิร์ตนานๆ เนี่ยแหละ เสี่ยงต่อการตกยุคสูงมาก โดยเฉพาะนี้ยิ่งเสี่ยง แต่ละคนจะฟังอะไรคือเจาะเฉพาะวงนั้น ต่อให้มีเวลา คนก็จะรอดูเฉพาะวงที่ตัวเองชอบอยู่ดี ไม่ต้องมานั่งรอเลี้ยงคนเลย พอดูเสร็จฉันก็จะกลับบ้านเลย (หัวเราะ) มันเปลี่ยน   

จะมีอัลบั้มชุด 8 เร็วๆ นี้ไหม 

ต้า: ตอนนี้ก็กำลังเดินเครื่องแล้วครับ หมายถึงเริ่มมีโฟกัสในการทำอัลบั้ม เพลงที่ออกไปก็จะเป็นเพลงที่จะเก็บตุนไว้เพื่อรวมเป็นอัลบั้ม เช่น เพลงฤดูหนาว ก่อนหน้านี้ก็จะมีเพลงชื่อ 'เลขเด็ด' ในอนาคตก็เริ่มมีแผนชัดเจนขึ้น

paradox-interview-SPACEBAR-Photo11.jpg

สอง: ตอนแรกคิดว่าะเป็นซิงเกิลเฉยๆ ก็จะลอยๆ ละ แต่ว่าอันนี้นับเป็นซิงเกิลหนึ่ง เพลงฤดูหนาวเป็นซิงเกิลที่ 2 แล้ว   

วงอยากทำอะไร หรือลองอะไรอีกไหม

ต้า: จริงๆ เป้าหมายรวมๆ คือการเป็นตำนานวงอัลเทอร์เนทีฟที่อยู่ระยะยาว ถ้าเป็นได้มันก็จะดีมาก ช่องว่างนี้ยังมีอยู่ มันทำเป็นความฝันที่ท้าทายได้   

สอง: จริงๆ ผมมีแผนใหญ่คือบางทีก็นึกว่าคอนเสิร์ตใหญ่ทุก 10 ปี ก็ทำไป 2 ครั้งแล้ว จริงๆ ปีหน้าจะครบอีก ต้องทำครั้งที่ 3 แล้วล่ะ เพลงก็ทำเกือบหมดแล้ว อาจรู้สึกไม่ท้าทายมาก แต่ว่ายังรู้สึกยังมีแผนอยู่นะที่อยากทำ คอนเสิร์ตครั้งหน้าจะเป็นยังไง มันยังมีอะไรอีกมาก เราจะเล่นหนักไหม หรือเบาลง  

ต้า: ด้วยความที่เราเป็นวงทดลอง มันเลยไม่ได้มีเพลงฮิต อย่างเพลงฤดูร้อนตอนแรกแทบกัดฟันไม่ดูคนดูเลย 10 ปีผ่านไปกลับดังขึ้น มันกลายเป็นข้อดีที่ว่าเรามีความฝันไปเรื่อยๆ ทดลองไปเรื่อยๆ

paradox-interview-SPACEBAR-Photo12.jpg

เสื้อลื้อดูร้อนเป็นมายังไง  

สอง: มันไม่เกี่ยวกับอะไรเลย เราไปออกรายการ Buff Talk ก็เล่นมุกกันปกติ แล้วรายการช่วยคิดด้วยซ้ำ เป็นเรื่อง 'ลื้อดูร้อน' แบบมาจากอาม่า 

ต้า: คือมุกเนี้ย ไม่ใช่ไอเดียผมเลย แต่รายการคิดมาให้ แล้วก็ลืมไปแล้วด้วย ตอนนั้นคือรายการดีลมาแล้วเราก็บอกว่าเราไม่ค่อยได้นะเรื่องปล่อยมุก เขาก็เลยคิดมาให้ ช่วงนึงครีเอทีฟรายการก็แอบมากระซิบว่ามีมุกนี้นะ มุกอาม่าที่มาเพลงฤดูร้อน ต้องขอบคุณรายการ Buff Talk ที่เขาพยายามเค้นขอมุกนี้ด้วยครับ แล้วคนก็ไปเชื่อแบบนั้นด้วยนะฮะ น่าตกใจมาก เป็นตำนานเรื่องจริง  

สอง: ก็ตลกดี ปกติเราทำเมอร์เชนไดส์ขายอยู่แล้ว แล้วเราทำอันนี้ใส่เองดีกว่า เอาสติกเกอร์ตัดใส่เอง หยาบๆ เลย ตัดเป็นฟอนต์หนังสือพิมพ์ เริ่มจากตรงนั้น แล้วแฟนเพลงก็ขอซื้อ อยู่ๆ ก็คุณพิธาไปใส่ ออกรายการป๋าเต็ด จู่ๆ ก็ดังเฉย  

ฝากผลงานแก่แฟนคลับหน่อย 

ต้า: ฝากเพลงฤดูหนาวไว้ด้วยครับ อยากจะให้ทุกคนลองฟังดู เพราะมันเป็นเพลงที่ให้กำลังใจด้วย และก็ในอนาคตจะมีอัลบั้ม น่าจะปีหน้า คงจะได้ฟังเพลงแปลกๆ ใหม่ๆ สดๆ และจะมีเพลงพิเศษน่าจะปล่อยโปรโมตในเดือนมกราคม คือเพลง cover 'พูดอีกที' ของ พี่ติน่า-คริสติน่า อากีล่าร์ ในอัลบั้ม 40 ปี แกรมมี่ ครับ ฝากด้วยครับ

paradox-interview-SPACEBAR-Photo13.jpg

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์