ไฟใต้ (ยัง) คุกรุ่น พบวัดร้าง 200 แห่ง ใน 3 จังหวัดภาคใต้ ความขัดแย้งที่อาจนำไปสู่การแยกดินแดน

7 ก.ค. 2566 - 04:20

  • พบวัดไทยในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีจำนวนร้างเพิ่มขึ้นถึง 200 กว่าแห่งนับตั้งแต่ปี 2547 จนถึงปัจจุบัน

  • อาณาจักรปาตานี เป็นอาณาจักรที่มีความสัมพันธ์กับสยามมาช้านาน และมีปัญหาทางการเมืองนับตั้งแต่นั้น

  • รัฐไทยเคยพยายามเจรจาสันติกับชาวมลายูในพื้นที่ แต่กลับเข้าสู่ภาวะเดิมหลังเกิดรัฐบาลในยุคปรีดี พนมยงค์

patani-secession-controversial-SPACEBAR-Thumbnail
เมื่อปีพุทธศักราช 2547 มีการรายงานว่ามีวัดไทยร้างจำนวน 44 แห่ง ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตัวเลขนี้นับว่าเป็นตัวเลขที่สูงพอสมควร แต่ต่อมาในปี 2556 มีการรายงานเพิ่มเติมว่ามีวัดไทยร้างเพิ่มมากขึ้นเป็น 216 แห่ง แม้ว่าศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ ศอ. บต. จะทำการฟื้นฟูพื้นที่พุทธศาสนาหลายแห่ง แต่ตัวเลขวัดร้างก็ยังลุ่มๆ ดอนๆ ขึ้นลงอย่างไม่แน่นอน 

สื่อ ThaiPBS ทำการสัมภาษณ์กับชาวบ้านในพื้นที่ตำบลยามู อำเภอยะหริ่ง โดยให้ความว่าสาเหตุที่วัดในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีพระจำพรรษาน้อยลง เนื่องจากชาวไทยพุทธส่วนใหญ่ ที่อาศัยในชุมชน อพยพครอบครัวออกนอกพื้นที่ เพราะไม่มั่นใจความปลอดภัย ทำให้บุตรหลานที่อายุครบบวช ไม่สามารถบวชวัดในชุมชนได้ ส่วนพระจากต่างจังหวัด ไม่กล้าเดินทางเข้าจำพรรษา 
https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/g13UvBJMkEOCzmGClt0Yl/2cf9873db0c72b25581b87260d7230a6/patani-secession-controversial-SPACEBAR-Photo01
Photo: AFP
นอกจากพื้นที่ดังกล่าวยังมีอีกหลายชุมชนที่ประสบปัญหาวัดร้าง หรือมีพระจำพรรษาอยู่น้อย โดยให้เหตุผลเดียวกันคือ ‘ความไม่ปลอดภัยในชุมชน’ ที่ไม่ได้มีแค่ปัญหาระหว่างพุทธศาสนิกชนกับชาวมุสลิมในท้องที่ แต่ยังมีเรื่องการเมืองท้องถิ่น ปัญหายาเสพติด และความยากจน โดยมีต้นเหตุคือเรื่องของเศรษฐกิจ เยาวชนในพื้นที่ไม่มีการศึกษาที่ควรได้รับ หรือต่อให้มีนโยบายการศึกษาฟรีก็ยังไม่สามารถหยุดโน้มน้ามไม่ให้เยาวชนแตะต้องกับยาเสพติดได้ ทั้งหมดเป็นสภาพแวดล้อมที่ยากเกินจะแก้ไข  

เรื่องราวปัญหาเหล่านี้สามารถยืนยันได้จากคนภายใจอย่าง มิน-สูฮัยมี ลือแบซา นักกิจกรรมเยาวชนที่ให้สัมภาษณ์กับทาง Amnesty International Thailand เกี่ยวกับปัญหาภายในของจังหวัดสามชายแดน 
https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/6SWr5ezp8nqQG3n7zdvtpX/af910b5e81391a06676715f95d030f16/patani-secession-controversial-SPACEBAR-Photo02
Photo: AFP
“คนในหมู่บ้าน (บ้านโสร่ง จังหวัดปัตตานี) จะทำอาชีพสวนยางกับสวนผลไม้สลับกัน แต่ปัญหาในชุมชนเอง คือการที่เยาวชนหลายคนมากครับ ที่ต้องออกจากระบบการศึกษา และติดยาเสพติด บางคนถึงกับต้องติดคุก มีเด็กน้อยมากที่สามารถถีบตัวเองเข้าสู่ระบบการศึกษาได้ ทั้งในระดับมัธยมและมหาวิทยาลัย ด้วยสภาพแวดล้อม และต้นทุนชีวิต”  

“ต้นทุนชีวิตของพวกเขาไม่เพียงพอในการต่อยอดการศึกษาเข้าไปในระดับมัธยม ง่าย ๆ คือ เขาไม่มีเงินที่จะส่งเสียให้เรียนจบ เด็กบางคนเองก็ถูกตำรวจจับเพราะติดยาเสพติด ติดคุกก็มี ทำให้อนาคตของเขามันไปต่อไม่ได้ ด้วยสภาพแวดล้อม สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในหมู่บ้านที่เราอยู่ แต่ละแวกใกล้เคียงในสามจังหวัดเองก็เจอกับปัญหาแบบนี้” มินกล่าวกับสื่อ Amnesty 

ปัญหาความรุนแรงในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นปัญหาที่ยังไม่จบไม่สิ้น และยังเรื้อรังต่อเนื่องมานานหลายร้อยปี โดยเกิดจากปัจจัยหลายอย่างสะสมตั้งแต่สมัยอยุธยาจนมาถึงสมัยรัตนโกสินทร์ และดำเนินต่อกันมาถึงปัจจุบัน 
https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/3VSZUDI9MvEtGcExcNZszu/8d41683b4a2919bcda3db642c60b993d/patani-secession-controversial-SPACEBAR-Photo03
Photo: AFP
เหตุการณ์ที่หลายคนเชื่อว่าก่อเป็น ‘ไฟใต้’ ในยุคปัจจุบัน คือเหตุการณ์กรณีตากใบในปี 2547 ที่ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ทั้ง 6 คน ถูกใส่ความว่าเป็นหนอนบ่อนไส้ให้กับผู้ก่อการร้าย นำไปสู่การชุมนุมของชาวบ้านเรียกร้องให้เห็นว่า 6 คนนี้เป็นผู้บริสุทธิ์ แต่เหตุการณ์กลับร้ายแรงกว่าเดิม นั่นคือมี 7 คน เสียชีวิตจากเหตุสลายการชุมนุม 7 คน สูญหายจากเหตุการณ์ 1,370 คน ถูกควบคุมตัวไปสอบสวน 78 คน เสียชีวิตขณะถูกลำเลียงในรถบรรทุก และ 58 คน ถูกเจ้าหน้าที่รัฐดำเนินคดีในฐานะแกนนำการชุมนุม เหตุการณ์นี้ทำให้ความเชื่อมั่นต่อรัฐของคนท้องที่เสื่อมลง และมองว่าเป็นสิ่งที่ ‘ไม่เป็นธรรม’ ยังไม่นับเหตุการณ์กรือเซะที่รัฐใช้อำนาจเข้าปราบปรามผู้ชุมนุมด้วยความรุนแรงจนมีผู้เสียชีวิตร่วมเกือบ 120 คน 

อาณาจักรปาตานีที่ (เคย) รุ่งเรือง 

ในบริเวณสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ยาวไปออกเกือบครึ่งของประเทศมาเลเซียเคยเป็นอาณาจักรรุ่งเรืองที่มีชื่อว่า ‘อาณาจักรปาตานี’ นักวิชาการเห็นตรงกันว่าน่าจะก่อตั้งขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1457 (พ.ศ. 2018) แต่เรื่องราวที่มาของอาณาจักรนั้นไม่มีใครทราบ และมีเพียงเอกสารชิ้นสำคัญเดียวคือ ‘ฮิกายัต ปาตานี’ (Hikayat Patani) หรือแปลเป็นไทยว่า ‘ประวัติศาสตร์แห่งปาตานี’ เอกสารเขียนทั้งหมดเป็นภาษายาวี บอกเล่าที่มาและประวัติศาสตร์ของอาณาจักรปาตานีรวม 6 ส่วน 
https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/2afJbsIi3PGUdCctFCVGTQ/690313684e1c06bac99354cd83721c31/patani-secession-controversial-SPACEBAR-Photo04
Photo: แผนที่เขตอาณาจักรปาตานี. Photo: Wikimedia
ในฮิกายัต ปาตานี เล่าถึงที่มาของอาณาจักรว่าก่อตั้งโดยพระเจ้าพาญา ตู นักปา (แปลว่า กษัตริย์ผู้ชื่นชอบเข้าป่าลำไพร) โดยมีเรื่องราวอยู่ว่าหลังจากที่พระองค์ไม่สามารถล่ากระจงเผือกได้ พระองค์เหลือบไปเห็นกระท่อมหลังหนึ่ง ซึ่งมีชายชรานักประมงกับภรรยาอาศัยอยู่ พระองค์ถามว่าชายชรานั้นว่าเป็นใคร ชายชราจึงตอบว่าเขาชื่อ เอนชิก ตานี (Encik Tani) เดิมทีเขาคือคนจากโคตา มาลิไก (Kota Maligai) ที่เคยนำพาพระอัยกาของพระองค์ไปยังกรุงศรีอยุธยาเพื่อสร้างถิ่นฐานที่นั่น เนื่องจากตัวเขามีโรคทางผิวหนัง จึงถูกทิ้งให้มาอยู่ที่หาด จากนั้นพระเจ้าพาญา ตู นักปา จึงตั้งถิ่นฐานที่นี่ ซึ่งเป็นที่ที่ตัวกระจูกเผือกวิ่งหนีหายไป โดยตั้งชื่อว่า ‘ปาดา ปานไต อิตี’ (pada pantai iti) แปลว่า ‘บนหาดแห่งนี้’ หรือ ปาตานี (patani) 
https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/2EyqEdb7vap73yGjqnHme0/5d0ba055e30343ba83377d19a858819b/patani-secession-controversial-SPACEBAR-Photo05
Photo: ฮิกายัต ปาตานี. Photo: Wikimedia
เรื่องยังเล่าว่าเดิมทีพระเจ้าพาญา ตู นักปา นับถือศาสนาพุทธ อยู่มาวันหนึ่งผิวหนังพระองค์กลับแห้งแตกจนทรุดหนัก พระองค์จึงสั่งให้มุขมนตรีป่าวประกาศทั่วเมือง ใครผู้ใดที่สามารถรักษาพระองค์ได้จะหยิบยื่นบุตรีของตนให้ เผอิญพ่อค้าชาวมุสลิมนามว่า เฉก เซด (Shaykh Said) ได้ยินเข้า จึงขออาสาช่วยเหลือ แต่มีเงื่อนไขคือพระราชาต้องเปลี่ยนมานับถืออิสลาม พระราชาตอบตกลง เลยเป็นที่มาของอาณาจักรปาตานีที่ปกครองโดยระบบสุลต่าน โดยพระองค์เปลี่ยนชื่อตัวเองเป็น สุลต่านอิชเมล ซยา ซิลลุลลาห์ ฟิล-อาลาม  

เนธาน โปแรธ (Nathan Porath) นักมนุษยวิทยาจากมหาวิทยาลัยไลเดน เห็นว่าเรื่องที่มาที่เล่ามานั้นเป็นเพียงตำนาน สองสามีภรรยาชาวประมงเป็นสัญญะแทนถึงคนท้องถิ่นที่ต้องการผู้ปกครอง อยุธยาไม่ใช่หนึ่งในตัวเลือกจึงแสดงภาพเป็นโรคทางผิวหนัง เช่นเดียวกับอาการโรคผิวของของพระเจ้าพาญา ตู นักปา แสดงถึงความไม่ลงรอยกันระหว่างผู้ปกครองและอาณาจักร จึงได้ เฉก เซด และศาสนาอิสลาม เป็นสัญญะแทนความเป็นหนึ่งอันเดียวกันเข้ามาช่วยค้ำจุน  

ถ้าว่ากันในเชิงประวัติศาสตร์นั้นไม่มีใครรู้ที่มาของเมืองปาตานีอย่างแท้จริง มีเพียงสันนิษฐานว่าเจ้าชายสยามบุกเข้าทำลายเมืองโคตา มาลิไก และก่อตั้งเมืองขึ้นมาใหม่เป็นเมืองปาตานี ซึ่งเดิมทีปาตานีเป็นเมืองพุทธ ก่อนเจ้าชายจะเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามในภายหลัง ข้อมูลส่วนใหญ่มักกล่าวว่าปาตานีเริ่มมาจาก อาณาจักรลังกาสุกะในสมัยพุทธศตวรรษที่ 7 แต่ก็มีบางคนคัดค้านว่าเมืองปาตานีนั้นมีอยู่ก่อนแล้ว เพียงแต่ยังไม่ขึ้นมาเป็นอาณาจักรใหญ่ (จีรวุฒิ บุญรัศมี)
https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/2ywjWiH5g4NegzvoNS8q7U/5dd12d08164906319e1db1464d93e920/patani-secession-controversial-SPACEBAR-Photo_V06
Photo: แผนที่ปาตานีหลังรวมเป็นหัวเมืองสยามในสมัยรัชกาลที่ 5. Photo:Wikimedia
อย่างไรก็ตาม ในสมัยอยุธยา ทั้งอาณาจักรอยุธยาและอาณาจักรปาตานีเป็นสองอาณาจักรที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิด เพราะปาตานีอยู่ภายใต้อำนาจของสยาม มีการส่งเครื่องบรรณาการให้อยู่สม่ำเสมอ แต่มีอยู่วันหนึ่งอาณาจักรปาตานีอยากปลีกตัวเป็นอิสระ อยุธยาจึงส่งกองทัพเข้ามาปราบนำโดยพระเจ้าปราสาททอง แต่ไม่สำเร็จเพราะปาตานีได้กองทัพจากยะโฮร์ กลันตัน และตรังกานู มาช่วยรบ แถมอยุธยายังโดนตีต้อนถูกปกครองโดยชาวปาตานีไปช่วงหนึ่ง ก่อนมีกองทัพจากพิษณุโลกมาช่วยให้ปาตานีร่นถอยไป  

ต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์ สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงเห็นว่าปาตานีเป็นภัยต่อหัวเมืองทางใต้ของสยาม จึงยกทัพเข้ามาตีปาตานีอีกครั้งจนสามารถยึดเป็นประเทศราช แต่ด้วยความไม่สงบภายในเมือง เลยแยกออกเป็น 7 หัวเมือง ได้แก่ ปัตตานี หนองจิก ยะหริ่ง รามัน ยะลา สายบุรี และระแงะ อันหมายถึงการสิ้นสุดของเอกราชปัตตานี 

การยัดเยียดของสยาม และการเมืองไทยปัจจุบัน 

จะสังเกตเห็นได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับปัตตานีนั้นไม่เคยสู้ดีมาตั้งแต่อดีต และยังสร้างความบาดหมางใหักับคนในพื้นที่สามจังหวัดอย่างต่อเนื่อง แม้แต่ในสมัยสงครามโลก หรือหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2475 ก็มีนโยบายรัฐนิยมของ จอมพลป. พิบูลสงคราม ที่พยายามกดทับอัตลักษณ์และศาสนาของคนในพื้นที่ เสนอให้ชาวมลายูในพื้นที่แต่งตัวแบบคนไทย บรรดาเจ้าเมืองที่เข้าไปมาขัดขืนถูกจับกุมจนต้องหนีไปมาเลเซีย จนกระทั่งมาถึงช่วงที่ ปรีดี พนมยงค์ เป็นนายกรัฐมนตรี หันมาแก้ไขปัญหาด้วยการลงพื้นที่และพูดคุยกับคนท้องถิ่น 
https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/5tmsSQwIhLG79LZWMlv5Ux/194c72806f7b1d161933c06a6f576adf/patani-secession-controversial-SPACEBAR-Photo07
Photo: หะยีสุหลงถ่ายรูปร่วมกับปรีดี พนมยงค์. Photo: Wikimedia
ปรีดี พนมยงค์ ทำการเจรจากับ หะยีสุหลง อับดุลกอเดร์ โต๊ะมีนา ผู้นำคนสำคัญของปัตตานี โดยหะยีสุหลงร่างข้อเสนอร่วมกับผู้นำอิสลามในสี่จังหวัด (ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสตูล) ทั้งหมด 7 ข้อ แต่กลับเจอรัฐประหารจากทหาร ข้อเสนอเหล่านี้จึงจางหายไปกับอากาศ และปัญหาความขัดแย้งที่เคยมีร่วมกันมายังไม่ถูกแก้ไข หะยีสุหลงถูกมองว่าเป็นศัตรูของรัฐ แม้ว่าเรื่องของที่เสนอนั้นเป็นเพียงเรื่องพื้นฐานในระบอบประชาธิปไตยก็ตาม
https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/yCtUjwe2NV5dnoYf6RYCQ/34930a377d4e6425993475b256d825a8/patani-secession-controversial-SPACEBAR-Photo_V08
Photo: หะยีสุหลง. Photo: Wikimedia
หะยีสุหลงถูกอุ้มหายไปหลังรัฐประหาร 2 ปี เป็นชนวนสำคัญก่อให้ชาวบ้านเริ่มลุกฮือขึ้นมาต่อต้านรัฐไทยมากขึ้น การฆาตกรรมเริ่มเกิดขึ้น เศรษฐกิจถดถอย อาชญากรรมเริ่มก่อตัว ชาวพุทธในพื้นที่ถูกข่มขู่ คนบางกลุ่มย้ายออกนอกประเทศ สามจังหวัดชายแดนเริ่มกลายเป็นเมืองไม่ปลอดภัย มีวัดไทยร้างหลายแห่ง ชาวบ้านถูกใส่ร้ายจนถูกจับกุมอย่างไม่ธรรม จากปัญหาที่สามารถแก้ไขด้วยสันติวิธีกลายเป็นการแก้ไขด้วยความรุนแรง ทั้งหมดเกิดจากการความไม่เป็นธรรมที่ชาวมลายู หรือชาวปัตตานีได้รับ ปัจจุบันปัญหาความขัดแย้งนั้นยากเกินจะแก้ไข เพราะเหมือนติดกระดุมผิดเม็ดนับตั้งแต่รัฐประหาร 

ปัญหายังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเรื่องในชุดรัฐบาลของ พล. อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ครั้งนี้เป็นการรับมือกับขบวนการแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติมลายูปาตานี (Barisan Revolusi Nasional หรือ BRN) ขบวบการที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2503 โดย อุสตาซ อับดุลการิม ฮัสซัน เริ่มต้นจากการเป็นกองกำลังติดอาวุธ ปัจจุบันเป็นองค์กรหลักในการเจรจาเรื่องสันติกับรัฐบาลไทย 

พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา กล่าวกับปัญหาความขัดแย้งในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า “ผมไม่เคยหยุดคิด ตั้งแต่เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งแรกปีแรก ไม่เคยหยุดคิดว่าทำอย่างไรให้ประชาชนอยู่ดีมีความสุขจะลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมไปได้” และในเดือนมกราคม ปี 2563 มีการแถลงการณ์ว่ามีความรุนแรงจากอาชญากรรมน้อยลง และพยายามจัดการทุกอย่างให้รัดกุม  
https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/7gkSqeEvYVB4NBLq07JfIQ/c7eb3a673dd323543b50e6f56ff38d07/patani-secession-controversial-SPACEBAR-Photo09
Photo: AFP
อย่างไรก็ตาม ผศ. ดร. ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี ผู้อำนวยการศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ให้สัมภาษณ์กับ BBC Thai ว่าสถิติความรุนแรงนั้นลดลงจริงนับตั้งแต่ปี 2556 จากปีละกว่า 1,000 เหตุการณ์เหลือประมาณ 300 เหตุการณ์ในปี 2563 และเห็นว่าปัจจัยที่ทำให้ความรุนแรงลดลง คือ 
  • การพูดคุยสันติสุขของรัฐบาลไทยกับบีอาร์เอ็น ที่แม้อาจไม่เห็นผลในเชิงความก้าวหน้าของการพูดคุย แต่ก็มีผลให้การก่อความไม่สงบในพื้นที่ลดลง 
  • หลังเหตุการรัฐประหาร 2557 รัฐบาลใช้มาตรการทางทหารเพื่อ ‘การควบคุม’ เพิ่มขึ้น เห็นภาพจางบประมาณการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ จากเดิมที่อยู่ระดับ 10,000-20,000 ล้านบาทต่อปี ก็ขยับมาเป็น 30,000-40,000 ล้านบาทต่อปี 
อาจารย์ศรีสมภพยังกล่าวว่าพอเข้าปี 2564 ความรุนแรงก็กลับมา และมากถึง 100 เปอร์เซ็นต์จากปี 2563 สันนิษฐานอาจเป็นเพราะการแพร่ระบาดจากโรคโควิด-19 ทำให้อาชญากรรม และความรุนแรงลดลง อาจารย์ศรีสมภพทิ้งท้ายไว้อีกว่า “ฝ่ายความมั่นคงของไทยยังปฏิบัติการทางทหารมากเท่าเดิม และอาจเป็นเหตุให้ฝ่ายขบวนการก่อความไม่สงบตอบโต้ นำมาสู่การโจมตีฐานที่ตั้งของทหารมากขึ้น”  

รัฐควรทำอย่างไร? 

“ทำไมปัญหาพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังไม่สิ้นสุดเสียที?” นี่อาจเป็นคำถามที่พบมากที่สุดบนโซเชียล หรืออาจเป็นคำถามที่สามารถผุดขึ้นมากลางบทสนทนาในวงเหล้าได้อย่างง่ายดาย และคำตอบสำหรับคำถามนี้นั้นเกือบจะเป็นคำว่า ‘สายเกินแก้’ แต่ไม่เสียทีเดียว สิ่งที่รัฐควรทำตอนนี้คือค่อยๆ ตะล่อมให้ทุกอย่างเข้าที่เข้าทางอย่างช้าๆ 

หลังจากการเลือกตั้ง 2566 จู่ๆ ก็มีกระแสเรื่องแบ่งแยกดินแดนโดย ‘ขบวนการนักศึกษาแห่งชาติ’ หรือ เปลาจาร์ บังซา นำโดยนายอิรฟาน อูมา โดยมีการจัดปาฐกถาเรื่อง ‘สิทธิในการกำหนดอนาคตตนเอง กับสันติภาพปาตานี’ เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2566 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี และมีการแจกเอกสารลงประชามติแยกตัวเป็นเอกราช มีข้อความว่า “คุณเห็นด้วยกับสิทธิในการกำหนดชะตากรรมตนเองหรือไม่ ที่จะให้ประชาชนปาตานีสามารถออกเสียงประชามติแยกตัวเป็นเอกราชได้อย่างถูกต้อง”  
https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/3DuaZOotpZhXJrRtNsWsyX/4a9cb9414835f1f4ba819c4e01fb9d86/patani-secession-controversial-SPACEBAR-Photo10
Photo: AFP
การแบ่งแยกดินแดนถือว่าเป็นการผิดรัฐธรรมนูญมาตราที่ 1 “ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้” ซึ่งกรณีความพยายามแบ่งแยกดินแดนของพื้นที่สามจังหวัดนั้นต้องมองพวกเขาด้วยความเห็นอกเห็นใจ เพราะความพยายามดิ้นรนเพื่อเอกราชไม่ได้เกิดจากความอหังการ หรือก่อตั้งตัวเองเป็นขบถ แต่พวกเขาอดทนแร้นแค้นมานาน และถูกละเลยจากรัฐบาลไทยจนสังคมเริ่มผุพัง ดังนั้น มาตรการในการรับมือกับปัญหาเหล่านี้ไม่ใช่กฎอัยการศึก แต่ควรเป็นการลงพื้นที่ ทำความเข้าใจตัวตนของผู้คน เข้าใจรากของความเป็นปาตานี ยอมรับความหลากหลายของพวกเขาเหล่านั้นดังที่ปรากฎในรัฐธรรมนูญ มาตราที่ 37 

“บุคคลย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ในการถือศาสนา นิกายของศาสนา หรือลัทธินิยมในทางศาสนา และย่อมมีเสรีภาพในการปฏิบัติตามศาสนธรรม ศาสนบัญญัติ หรือปฏิบัติพิธีกรรมตามความเชื่อถือของตน เมื่อไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อหน้าที่ของพลเมืองและไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน” 

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์