"มนต์รักนักพากย์" จดหมายรักถึง “ภาพยนตร์” ที่จรดทุกตัวอักษรด้วย “ภาษาไทย”

14 ต.ค. 2566 - 01:00

  • ในโลกของภาพยนตร์ เราคงได้เห็นผลงานมากมายจากผู้กำกับหลายชาติที่ได้ถ่ายทอดความรักความหลงไหลในศิลปะที่เรียกว่าภาพยนตร์ ซึ่งสำหรับผู้เขียนที่คลั่งไคล้ในศิลปะแขนงดังกล่าวนี้ การได้เปิดจดหมายรักเหล่านั้นออกมาอ่านไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์สัญชาติใดก็โดนเส้นประทับใจได้ทุกครั้ง จนนึกทึ่งในความทรงพลังของภาษาภาพยนตร์ที่ทำให้เราข้ามกำแพงภาษาและบริบทที่เราไม่เข้าใจจนต่อได้ติด

  • แต่เมื่อได้ชม “มนต์รักนักพากย์” ที่เราเชื่อมต่อได้ทันทีกับบริบทในเรื่อง ด้วยภาษาที่คุ้นเคย ประวัติศาสตร์ที่เคยรู้มา มันก็ทำให้จดหมายรักถึงภาพยนตร์ที่บรรจงเขียนด้วยลายมือไทยฉบับนี้ มอบความรู้สึกอันท่วมท้นแบบไม่คาดคิดให้กับผู้เขียน เรียกได้ว่าเมื่อถูกปลดเปลื้องกำแพงบริบทบางอย่างออกไป “ภาษาภาพยนตร์” ทรงพลังมากกว่าที่ผู้เขียนเคยคิดมากมายนัก

  • หากจะมีเรื่องเดียวที่เสียดาย คือไม่ได้รับชมความดีงามนี้ในสถานที่ที่ภาพยนตร์จะสื่อความรู้สึกได้ทรงพลังที่สุดอย่างในโรงภาพยนตร์ ก็เท่านั้นเอง

Review_Once_Upon_A_Star_SPACEBAR_Hero_9d4660d685.jpg

“มนต์รักนักพากย์” คือภาพยนตร์ที่ตั้งท่าชัดเจนว่าจะเป็นจดหมายรักต่อภาพยนตร์ไทย และมิตร ชัยบัญชา ของผู้กำกับไทยชั้นครูอย่าง “อุ๋ย” นนทรีย์ นิมิบุตร โดยตัวภาพยนตร์เล่าเรื่องราวในยุคที่การถ่ายทำภาพยนตร์ไทยยังไม่สามารถบันทึกเสียงได้ การพากย์จึงกลายมาเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งเสริมให้ภาพยนตร์แต่ละเรื่องมีสีสันและสนุกสนานขึ้น ภาพยนตร์โฟกัสไปที่หน่วยฉายหนังเร่ขายยาของ “มานิตย์” (ศุกลวัฒน์ คณารศ) นักพากย์เดี่ยว 5 เสียงที่กำลังระหกระเหินดิ้นรนด้วยกฏเกนฑ์ต่างๆ นาๆ จากบริษัทที่เข้ามาครอบพวกเขาไว้ แถมยังต้องต่อสู้กับนวัตกรรมการฉายหนังหรือสื่อแบบอื่นๆ พี่พัฒนาเข้ามาดิสรัปต์พวกเขาจนคนดูถดถอยลดน้อยลงไปเรื่อยๆ พวกเขาจึงต้องตัดสินใจละเมิดกฏรับนักพากย์หญิงอย่าง “เรืองแข” (หนึ่งธิดา โสภณ) เพื่อออกเดินทางฉายหนังที่อาจจะเป็นครั้งสุดท้าย !? นั่นทำให้ตลอดเวลาที่เราได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ เราจะได้เห็นการถ่ายทอดเหตุการณ์สำคัญช่วงต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับวงการภาพยนตร์ไทยในขณะนั้น ถูกร้อยเรียงลงบนเส้นเรื่องแบบ Golden Fleece หรือ โร้ดมูฟวี่ ซึ่งก็ต้องชื่นชมทุกฝ่ายตั้งแต่การกำกับ นักแสดง งานภาพ การตัดต่อ ที่สำคัญคืองานสร้างที่ละเอียดละออ จนรังสรรค์ช่วงเวลาต้องมนตร์เหล่านั้นออกมาได้อย่างดีงาม

Review_Once_Upon_A_Star_SPACEBAR_Photo01_55a6918e36.jpg

สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างก็คือ ภาพยนตร์ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเชิดชูความงดงามของการชมภาพยนตร์แบบดั้งเดิม กลับได้ทุนสร้างจากสตรีมมิ่งอย่าง เน็ตฟลิกซ์ ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่เข้ามาดิสรัปต์การชมภาพยนตร์ในโรงโดยตรง แปลกดีที่ในขณะที่เรากำลังดื่มด่ำกับเวทย์มนตร์ของการชมภาพยนตร์แบบที่ถูกนำเสนอในเรื่อง อย่างบรรยากาศความสนุกสนานเพลิดเพลินระหว่างที่ดูภาพยนตร์เป็นหมู่คณะ เมื่อหันออกมาจากจอมือถือหรือทีวีในขณะที่ดูภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่ ซ้ายขวาเราก็พบแต่เพียงกับความว่างเปล่าหรือใครโชคดีหน่อยก็อาจจะได้ดูกับคนรักหรือครอบครัว แต่ก็ยังห่างไกลกับบรรยากาศ หรือความสุนทรีที่เราเคยได้รับจากชมภาพยนตร์ในโรงไม่น้อย 

ซึ่งประเด็นดังกล่าวก็สอดคล้องไปกับตัวเรื่อง ที่การฉายหนังเร่ขายยาคนดูลดน้อยถดถอยลง เพราะการมีอยู่ของสื่อที่ดีกว่าอย่าง หนังล้อมผ้า การเข้ามาหนังพากย์บันทึกเสียง หรือการเกิดขึ้นของโฆษณาโทรทัศน์ที่อาจจะทำให้หน่วยเร่ขายยาถูกยุบ เมื่อเรื่องราวการดิ้นรนถูกร้อยเรียงมาจนถึงช่วงไคลแม็กซ์ ที่หน่วยหนังเร่ขายยาของมานิตย์ตัดสินใจจะแสดงพลังของพวกเขาเพื่อฉายประชันสู้กับหนังล้อมผ้า ยืนหยัดสู้ต่อเพื่อความฝันที่ตัวเองรักอีกสักครั้งเพราะไม่อยากค้างคา ซึ่งห้วงเวลาดังกล่าวในภาพยนตร์ก็ถูกถ่ายทอดออกมาได้ทรงพลังอย่างยิ่ง ซึ่งเมื่อตัดกลับมาที่ในโลกแห่งความเป็นจริงท่ามกลางสถานการณ์ของวงการภาพยนตร์ไทยในปัจจุบัน บนภาวะที่พฤติกรรมของผู้ชมเปลี่ยนแปลงไป เชื่อเหลือเกินว่าการนำเสนอโปรเจ็คอันหาญกล้าที่จะบันทึกประวัติศาสตร์ช่วงหนึ่งของภาพยนตร์ไทยลงบนจดหมายรักที่ชื่อว่า “มนต์รักนักพากย์” ฉบับนี้  คงไม่ง่ายนักที่จะมีนายทุนยอมให้งบมากขนาดนี้ถ้าหากดึงดันว่าต้องฉายในโรง 

ดังนั้นการที่สุดท้ายตัวหนังมีที่ทางและถูกผลิตออกมาด้วยโปรดัคชั่นที่ดีงามจนขับเน้นสารที่จะสื่อออกมาอย่างได้อย่างทรงพลัง ก็ถือเป็นการต่อสู้ปรับตัวและหาหนทางเพื่อสร้างชิ้นงานในฝันไม่ต่างจากตัวละครมานิตย์ในเรื่อง ซึ่งความพยายามตรงนี้ก็น่ายกย่องชื่นชมไม่แพ้ฝีมือในด้านของการรังสรรค์ตัวภาพยนตร์

Review_Once_Upon_A_Star_SPACEBAR_Photo02_aa60a6b8a4.jpg

อีกปัจจัยที่บางคนฟังแล้วอาจไม่คล้อยตาม แต่ทำให้ตัวภาพยนตร์ทำงานกับผู้เขียนได้อย่างยอดเยี่ยม จากทรรศนะของผู้เขียน ที่เชื่อและสัมผัสได้มาตลอด คือไม่มีภาพยนตร์แบบใดที่จะสื่อสารกับคนไทยได้ดีเท่าภาพยนตร์ไทยอีกแล้ว ซึ่งอย่างที่เกริ่นไปข้างต้นว่าเมื่อได้ดู “มนต์รักนักพากย์” ความคิดนี้ก็ชัดเจนขึ้นแบบสิ้นสงสัย  

หากลองเปิดใจและวางอคติบางอย่างลงสักนิด เชื่อเถอะว่า “ภาพยนตร์ไทย” ไม่ว่าจะในกระแสหรือนอกกระแส ไม่ว่าจะตั้งท่าเป็นจดหมายรัก บทความวิชาการ หรือนิยายมุ่งเน้นความบันเทิง ตราบใดที่มันอยู่ในรูปแบบของภาพยนตร์ไทย มันล้วนถูกสร้างมาเพื่อผู้ชมชาวไทย ประเด็นที่ผู้กำกับไทยแต่ละท่านพยายามจะสื่อสารก็คงไม่มีคนชาติใดเข้าใจเท่าคนไทย ซึ่งมันยังมีภาพยนตร์ไทยอีกมากที่ถูกละเลย และยังคงรอที่จะแสดงพลังของมันออกมาเหมือนกับที่ “มนต์รักนักพากย์” ทำกับผู้เขียนสำเร็จ

เพราะจดหมายรักที่เรียงร้อยกันสละสลวยด้วย “ภาษาไทย”  

คงไม่มีใครเหมาะที่จะอ่านมันเข้าใจไปมากกว่า  “ผู้ชมชาวไทย” อีกแล้ว

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์