เมื่อนานมาแล้วตั้งแต่หลังการฉายเรื่อง Avengers: End Game หนังซูเปอร์ฮีโร่มาร์เวลที่สร้างรายได้ให้กับมาร์เวลสตูดิโอ (Marvel Studio) อย่างมหาศาล มาร์ติน สกอร์เซซี (Martin Scorsese) ก็ออกมาแสดงความเห็นเกี่ยวกับมาร์เวลาว่าเป็นแนวหนังที่ทำให้ไม่มีพื้นที่สำหรับหนังแนวอื่น อีกทั้งหนังยังไม่มีความเป็นซีนีมามากพอ (cinematic) เช่นเดียวกันกับ เควนติน ทารานติโน (Quentin Tarantino) ที่ยังกล่าวว่าหนังมาร์เวลไม่ใช่แนวของเขา
ความเห็นของผู้กำกับทั้งสองทำให้ ซือมู่ หลิว (Simu Liu) นักแสดงนำจากเรื่อง Shang-Chi and the Legend of the Ten Rings ออกมาตอบโต้ว่าเพราะหนังมาร์เวลนี่แหละทำให้เขาอยู่บนจอยักษ์ที่มีคนชมทั่วโลก
“ถ้าผู้เฝ้าประตูแห่งการเป็นดาราเพียงคนเดียวนั้นเป็นคนของ ทารานติโน่ หรือ สกอร์เซซี ผมคงไม่มีโอกาสเล่นหนังรายได้ 400+ ล้านเหรียญสหรัฐ” ซือมู่กล่าวบนทวิตเตอร์ “ผมทึ่งในความอัจฉริยะในการทำหนังของพวกเขานะ แต่พวกเขาควรเลิกจูงจมูกผมหรือคนอื่นได้แล้ว”
“ไม่มีค่ายหนังไหนที่สมบูรณ์แบบไปหมด แต่ผมภูมิใจที่ทำงานกับค่ายที่สนับสนุนความหลากหลากบนจอหนังด้วยการสร้างฮีโร่ที่สามารถให้แรงบันดาลใจคนทุกกลุ่มทั่วโลก” ซือมู่กล่าวเสริม
ประเด็นเรื่องนี้ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันทั่วโลกเกี่ยวกับศิลปะการทำหนังที่เริ่มจืดจางลง หลังจากการมาของหนังกระแสหลักที่ชักจูงคนดูมากกว่า มอบความบันเทิงมากกว่าหนังที่ถูกทำมาเพื่อเป็นงานศิลปะ หรือเป็นการสืบทอดเจตนารมณ์ของนักทำหนังยุครุ่งเรืองเมื่อปี 1920s อย่างไรก็ตาม ก็ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนว่าเราควรเห็นไปทางไหน เพราะดูเป็นเหมือนเรื่องปัจเจกบุคคล (subjective) มากกว่า
ความเห็นของผู้กำกับทั้งสองทำให้ ซือมู่ หลิว (Simu Liu) นักแสดงนำจากเรื่อง Shang-Chi and the Legend of the Ten Rings ออกมาตอบโต้ว่าเพราะหนังมาร์เวลนี่แหละทำให้เขาอยู่บนจอยักษ์ที่มีคนชมทั่วโลก
“ถ้าผู้เฝ้าประตูแห่งการเป็นดาราเพียงคนเดียวนั้นเป็นคนของ ทารานติโน่ หรือ สกอร์เซซี ผมคงไม่มีโอกาสเล่นหนังรายได้ 400+ ล้านเหรียญสหรัฐ” ซือมู่กล่าวบนทวิตเตอร์ “ผมทึ่งในความอัจฉริยะในการทำหนังของพวกเขานะ แต่พวกเขาควรเลิกจูงจมูกผมหรือคนอื่นได้แล้ว”
“ไม่มีค่ายหนังไหนที่สมบูรณ์แบบไปหมด แต่ผมภูมิใจที่ทำงานกับค่ายที่สนับสนุนความหลากหลากบนจอหนังด้วยการสร้างฮีโร่ที่สามารถให้แรงบันดาลใจคนทุกกลุ่มทั่วโลก” ซือมู่กล่าวเสริม
ประเด็นเรื่องนี้ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันทั่วโลกเกี่ยวกับศิลปะการทำหนังที่เริ่มจืดจางลง หลังจากการมาของหนังกระแสหลักที่ชักจูงคนดูมากกว่า มอบความบันเทิงมากกว่าหนังที่ถูกทำมาเพื่อเป็นงานศิลปะ หรือเป็นการสืบทอดเจตนารมณ์ของนักทำหนังยุครุ่งเรืองเมื่อปี 1920s อย่างไรก็ตาม ก็ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนว่าเราควรเห็นไปทางไหน เพราะดูเป็นเหมือนเรื่องปัจเจกบุคคล (subjective) มากกว่า