เต็มไปด้วยพลังบวกแห่งความสุข เพราะพวกเราต่างเป็น ‘มนุษย์’ เหมือนกัน
นี่น่าจะเป็นสิ่งที่เก็บรวบรวมมาได้จากการชมคอนเสิร์ต Coldplay Music of the Spheres World Tour Bangkok ครั้งนี้หลังจากที่ตัวของผู้รีวิวเองเคยได้ดูมาก่อนหน้านี้ในปี 2017 ที่ผ่านมา ซึ่งความแตกต่างของครั้งนี้กับครั้งที่แล้วต่างกันชัดเจนมากๆ ส่วนจะต่างกันในความรู้สึกแบบไหนมาดูกัน
เริ่มแรกคอนเสิร์ตครั้งนี้ทิ้งระยะห่างจากครั้งที่แล้วเกือบเจ็ดปีเต็มด้วยกัน ทำให้สังขารของคนดูและคนเล่นค่อนข้างเพิ่มขึ้นมาพอสมควรเลยทีเดียว สิ่งที่เห็นจากโชว์นี้ของ Coldplay เลยก็คือ พละกำลังของสมาชิกทั้งสี่คนของวงดร็อปลงไปจากครั้งที่แล้วอย่างเห็นได้ชัด มีท่อนหลุดท่อนพลาดนิดหน่อยๆ แต่อย่างไรก็ตาม เราก็ยังคงเห็น คริส มาร์ติน วิ่งไปวิ่งมาบนเวทีได้แบบไม่รู้จักเหน็ดไม่รู้จักเหนื่อยอยู่ดี
คอนเสิร์ตนี้เริ่มต้นได้ตรงเวลามากๆ 20.30 น. แม้อาจจะไม่ได้เปิดตัวแบบอลังการเหมือนครั้งที่แล้ว แต่ก็เต็มไปด้วยความเรียบง่ายตามแบบฉบับของ Coldplay การที่วงพาทุกคนย้อนไปดูหนังสั้นเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมเป็นการบอกนัยๆ ว่า นโยบายรักษ์โลกที่วงนำเสนอคือสิ่งที่อยากให้แฟนเพลงเก็บไปคิดและนึกถึงต่อจากนี้เหมือนกัน (แม้จะมีปัญหาเรื่องขวดน้ำที่นำเข้าคอนเสิร์ตในวันแรกก็ตาม) อีกหนึ่งกิมมิกที่จับได้ตั้งแต่แรกๆ เลยก็คือ รายได้จากคอนเสิร์ตครั้งนี้ทางวงได้แบ่งส่วนหนึ่งไป ‘ปลูกต้นไม้’ เพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมของโลกใบนี้ให้คงอยู่ต่อไป ซึ่งเป็นไอเดียที่ดีมากๆ
จากนั้นทางวงก็ไม่รอช้ากระหน่ำเพลงแดนซ์เซ็ตแรกออกมาทั้ง Higher Power, Adventure of a Lifetime, Paradise และ The Scientist ก่อนที่วงจะแวะทักทายพูดคุยกับแฟนเพลงทั้งภาษาไทยที่ฝึกมานิดหน่อยกับการกล่าวถึงประเทศจีนที่ในคอนเสิร์ตนี้พูดถึงบ่อยมากๆ (แอบเซ็งนิดหน่อยที่วงทำไมรอบนี้อยู่ๆ ก็พูดถึงแต่ประเทศจีนไม่พักเลย)
ก่อนที่เพลงเซ็ตต่อไปจะถูกบรรเลงต่อทันทีทั้ง Viva La Vida, Something Just Like This, Warning Sign (ซึ่งเพลงนี้วงได้เล่นเป็นครั้งแรกในทัวร์ครั้งนี้อีกด้วย), Orphans และเพลงชาติของวงอีกหนึ่งเพลงอย่าง Yellow ที่ครั้งนี้ความรู้สึกของการเล่นต่างออกไปจากครั้งที่แล้วชัดเจนมากๆ ทั้งมวลรวมจากวงรวมไปถึงแฟนเพลงด้วย แต่ก็อิ่มใจอยู่ดี เพราะนี่มันคือเพลงที่ทุกคนร้องตามได้อย่างพร้อมเพรียง
ก่อนที่วงจะค่อยๆ มูฟตัวเองมาที่ B-Stage พร้อมกับภาพบรรยากาศที่สวยงามมากๆ ทั้งกำไลข้อมือที่เปล่งแสง รวมไปถึงเสียงเฮของแฟนๆ ที่ลั่นสนั่นราชมังคลากีฬาสถาน เสียดายอย่างหนึ่งคือ คนไทยมีจำนวนประชากรน้อยกว่าาชาวจีน และ ชาวอินเดียมากๆ ในคอนเสิร์ตครั้งนี้
Human Heart, People of The Pride, Clocks, Infinity Sign, Hymn for the Weekend, Aeterna, My Universe และ A Sky Full of Stars ก่อนที่บนเวทีจะกลับมาฉายภาพ หลุยส์ อาร์มสตรอง และเข้าสู่เพลงเซ็ตสุดท้ายของโชว์นี้ที่จะมาเล่นบนเวทีพิเศษที่วงจัดเตรียมไว้และแฟนเพลงยืนรอเพื่อที่จะได้เห็นวงใกล้ๆ อีกครั้ง Sparks, The Jumbotron Song และซีนที่พิเศษสุดครั้งนี้สำหรับแฟนเพลงชาวไทยก็คือ วงดนตรี Zweed n’ Roll ที่ขึ้นมาร้องเพลง ‘ช่วงเวลา’ กับ Coldplay เป็นโมเมนต์ที่ทุกคนต่างโห่ร้องกันด้วยความยินดีกับเซอร์ไพรส์ครั้งนี้มากๆ
หลังจากจบเพลงนี้ในที่สุดโชว์ก็เดินทางมาถึงเพลงสำคัญที่ทุกคนรอคอยอย่าง ‘Fix You’ ที่ทุกคนต่างร้องอย่างสุดเสียง ก่อนที่วงจะปิดฉากคอนเสิร์ตนี้ด้วย Biutyful พร้อมกับจบโชว์ไปอย่างสวยงาม
โดยรวมคอนเสิร์ตครั้งนี้ พาร์ทของโชว์แม้แรงจะตกลงไปบ้าง แต่วงยังคงเอาอยู่เช่นเคย รวมถึงการได้วิฌวลสวยๆ บนเวทีกับแสงไฟบนกำไลคอนเสิร์ตที่ครั้งนี้ยังเป็นจุดเด่นเช่นเคย แอบเสียดายอย่างที่เกริ่นไปตอนต้นว่า วงพูดถึงประเทศจีนเยอะจนเกินไป เยอะถึงขนาดที่ช่วงแฟนคลับขึ้นไปบนเวทีก็ยังเป็นคนจีนอยู่ดี แต่ด้วยความเข้าใจได้ข้อนี้จึงไม่ใช่ประเด็นใหญ่และสำคัญอะไรมากเท่าไหร่
อีกสิ่งที่เป็นส่วนดีไม่แพ้กันก็คือ ทุกครั้งที่วง Coldplay มาประเทศไทย พวกเขามักจะมอบพลังบวกให้แก่ผู้ชมได้เสมอ ครั้งนี้ก็เช่นกัน หวังว่าครั้งหน้าเราจะยังได้รับพลังนี้อยู่
ขอบคุณที่ครั้งนี้กลับมาที่ประเทศไทยอีกครั้งนะ
Coldplay
