จบลงไปเรียบร้อยแล้วสำหรับโปรแกรมฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย นัดที่ 3 และ 4 ของทัพ ‘ช้างศึก’ ทีมชาติไทย ที่ในเกมแรกเราทำผลงานได้เกินคาด บุกไปยันเสมอทีมชาติเกาหลีใต้ถึงถิ่น 1-1 คว้า 1 คะแนนสำคัญกลับมาเพื่อเรียกความมั่นใจในนัดที่เล่นในบ้านได้ ซึ่งก็ส่งผลไปถึงศรัทธาของแฟนบอลไทยที่กลับมาอีกครั้ง คนดูกว่า 45,000 คน ในราชมังคลากีฬาสถาน เข้ามาเป็นสักขีพยานในเกมดวลเกาหลีใต้ที่บ้านของเราเองจนเต็มทุกที่นั่ง แต่ผลการแข่งขันกลับออกมาไม่เป็นอย่างใจหวัง เมื่อทัพ ‘โสมขาว’ แก้เกมจากนัดแรกได้เป็นอย่างดี บุกมายัดเยียดความปราชัยใส่เรา 0-3
การแพ้นัดนี้อาจส่งผลกระทบต่อโอกาสในการเข้ารอบเมื่อ ทีมชาติจีน เปิดบ้านยำใหญ่ใส่ ทีมชาติสิงคโปร์ 4-1 ทำให้ตอนนี้ตารางคะแนนกลุ่ม C ไทย มีอยู่ 4 คะแนน ตามหลัง จีน ที่มี 7 คะแนน อยู่ 3 แต้ม พร้อมลูกได้เสียที่เป็นรอง 3 ประตู สถานการณ์บีบบังคับให้สองนัดที่เหลือเราจำเป็นต้องชนะ และยิงประตูให้ได้เยอะๆ เพื่อการันตีโอกาสในการเข้ารอบให้ชัวร์ หากพูดถึงการแพ้ ทีมชาติเกาหลีใต้ เมื่อวานนี้ให้อะไรเราบ้าง ทัพ ‘ช้างศึก’ และ มาซาทาดะ อิชิอิ เรียนรู้อะไรจากความพ่ายแพ้นัดนี้ วันนี้เรามีคำตอบมาให้
ต้องยอมรับว่าเกาหลีเขา ‘แก้เกม’ ได้ดี
เรื่องแรกคือการวางแผนในการแก้เกมมาเป็นอย่างดีของ ทีมชาติเกาหลีใต้ ที่ทำให้เราเล่นเกมรุกได้ไม่สะดวกเท่าที่ควรเหมือนในนัดแรก ต้องบอกก่อนว่าแมตช์เมื่อวานนี้ มาซาทาดะ อิชิอิ เฮดโค้ชทีมชาติไทย ให้สัมภาษณ์หลังจบเกมว่า เขาตั้งใจเล่นแผนเดิมเหมือนในนัดแรก คือการเล่นเกมรับต่ำ และอดทนมีวินัยในเกมรับ เพื่อค่อยๆ รอทำการบิลด์อัพเกมรุกขึ้นมาเมื่อมีโอกาส ซึ่งถ้าใครได้ดูนัดแรกจะเห็นว่า ฝั่งริมเส้นบุกขึ้นเกมใส่ทีมเกาหลีใต้ได้เรื่อยๆ ทั้ง สุภโชค สารชาติ, เจริญศักดิ์ วงษ์กรณ์ และที่เด่นมากๆ คือ นิโคลัส มิคเกลสัน แต่คราวนี้ฝั่งคู่ต่อสู้เตรียมตัวมาใหม่ เริ่มเกมมาก็ไล่กดดันตัวรุกแนวบนของเราหมด โดยเฉพาะฝั่งริมเส้น ทำให้ไทยแทบจะไม่มีพื้นที่เล่น ดังนั้นเมื่อกองกลางของเราพลิกบอลได้ การออกบอลไปด้านข้างเพื่อทำเกมรุกก็ทำได้ยากกว่าเดิม เพราะเราโดนปิดเกือบหมด ทีนี้พอจะเจาะตรงกลางก็ยากอีก เพราะแดนบนเรามีแค่ ศุภชัย ใจเด็ด คนเดียวที่ตัวใหญ่พอจะชนกับแนวรับเกาหลีใต้ได้ ส่วนกลางของเราที่รูปร่างไม่สูงใหญ่ จะลากเจาะเข้าตรงกลางก็เป็นไปได้ยาก
อีกประเด็นที่สำคัญก็คือ อิชิอิ ดันต้องมาเสียผู้เล่นตัวหลักไปสองคนตั้งแต่ครึ่งแรก ซึ่งส่งผลสำคัญเพราะต้องปรับแผนส่วนใหญ่ทั้งหมด การขาด พีรดนย์ ฉ่ำรัศมี มิดฟิลด์แรงดีที่คอยวิ่งไล่บอล ก็ทำให้แดนกลางเราขาดความเคี่ยวในการไล่บอลไปพอสมควร เช่นเดียวกับการเสีย ธีราทร บุญมาทัน แล้วต้องโยก นิโคลัส มิคเกลสัน มายืนแทน ก็ทำให้เราต้องเสียคนที่รับมือ ซน เฮือง-มิน ได้ดีไปโดยปริยาย
เกมระดับเอเชีย ‘ความฟิต’ เป็นเรื่องสำคัญ
เรื่องที่สองที่แสดงให้เห็นถึงความต่างชั้นอย่างชัดเจน ถ้าไม่นับเรื่องความสามารถเฉพาะตัวที่เราเป็นรองอยู่แล้วก็คือ ‘สภาพร่างกาย’ หรือความฟิต ซึ่งจำเป็นมากๆ ทั้งในระดับเอเชีย และในโลกฟุตบอลยุคใหม่ ถ้าใครอยู่ในสนามเมื่อวานนี้จะเห็นเลยว่านักเตะระดับโลกอย่าง ซน เฮือง-มิน ลงเล่น 90 นาทีเต็มในแบบที่วิ่งไม่มีหยุด ตอนท้ายเกมที่มีโอกาสสวนกลับไทยเขาก็ยังวิ่งกระชากเหมือนตอนต้นเกมได้เหมือนเดิม แม้นี่จะเป็นการมาเล่นท่ามกลางอากาศร้อนกว่าบ้านเขาในนัดแรกราวฟ้ากับเหว รวมไปถึงนักเตะคนอื่นๆ ของเกาหลีใต้ก็วิ่งกันได้ทั้งเกมตั้งแต่ต้นจนจบ ในขณะที่ฝั่งเราพอต้องวิ่งเข้าหาบอลเยอะๆ พอเข้าช่วงท้ายๆ แรงก็เริ่มหมดวิ่งได้ไม่เท่าเขาแล้ว จะมีให้เห็นว่าพอจะทัดเทียมกับเกาหลีใต้ได้ก็คือ นิโคลัส มิคเกลสัน ที่ลงเล่นฟุตบอลอาชีพในลีกยุโรปอยู่แล้ว ดังนั้นนี่คืออีกหนึ่งเรื่องสำคัญที่ ทีมชาติไทย และ อิชิอิ ต้องเตรียมตัวให้พร้อมรับมือมากขึ้น หากเราอยากจะก้าวไปให้ไกลกว่าเดิม
แพ้แล้วเรียนรู้ ‘มูฟออน’ ให้ได้ ศรัทธาห้ามหมด
เรื่องสุดท้ายคือการสัมภาษณ์หลังจบเกมของ มาซาทาดะ อิชิอิ หัวเรือใหญ่ทีมชาติไทย ที่ถูกป้อนคำถามหลากหลายคำถาม โดยเขาให้คำตอบแต่ละข้อได้ดีมากๆ โดยดีในที่นี้คือ เขาเรียนรู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในเกมนี้ และเตรียมจะนำไปพัฒนาทีมชาติไทยให้ดีขึ้นต่อไปในแผนฟุตบอล ‘ระยะยาว’ ที่เขาวางไว้ให้กับวงการฟุตบอลไทย อิชิอิ มองว่าไทยยังมีโอกาสเข้ารอบต่อไปได้ เพราะไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ การแพ้ทีมระดับหัวแถวของเอเชียอย่าง ทีมชาติเกาหลีใต้ ในนัดนี้ไม่มีอะไรต้องเสียใจ แม้ผลประตูที่เกิดขึ้นจะห่างเยอะ แต่การที่ไทยเล่นสู้กับเกาหลีใต้ได้แบบไม่เคอะเขิน ไม่ได้โดนครองบอลบุกใส่จนโงหัวไม่ขึ้น แถมยังมีโอกาสจบสกอร์ใส่เขาได้บ้างก็ถือเป็นเรื่องที่เราควรยินดีกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในตอนนี้
‘เดินหน้าต่อ’ คือคำตอบที่ ทีมชาติไทย และ แฟนฟุตบอลไทย ควรร่วมมือร่วมใจไปพร้อมๆ กัน ช่วยกันรักษาศรัทธาที่เกิดขึ้นอีกรอบนี้ไม่ให้มอดดับลงไป ให้กำลังใจกันต่อในนัดบุกไปเยือน ทีมชาติจีน และเข้ามากันให้เต็มสนามราชมังฯ อีกครั้งในเกมกับ ทีมชาติสิงคโปร์ เพราะเชื่อว่านี่คือการเดินทางมาในทิศทางที่ควรจะเป็นแล้วของทัพ ‘ช้างศึก’ ทีมชาติไทย