หลายคนอาจจะมองว่าความรักเป็นเรื่องของคนสองคน แต่หากลองมองลึกลงไปในตัวบทกฎหมาย มันไม่ใช่แค่ความรู้สึกแต่มันคือสิทธิขั้นพื้นฐานที่คู่รักทุกคู่ควรได้รับ เช่น การดำเนินการทางด้านกฎหมาย การได้รับสวัสดิการ การคุ้มครองทางกฎหมาย สิทธิในการรับบุตรบุญธรรม และอีกมากมายที่ไม่ต่างจากคู่รักต่างเพศได้รับซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการยอมรับความเท่าเทียมในสังคม
สำหรับ พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียมนี้ หลักๆ คือการปรับแก้กฎหมายให้ ‘คู่รักทุกเพศ’ สามารถจดทะเบียนสมรสกันได้โดยไม่จำกัดเฉพาะคู่ชาย-หญิง และเมื่อกฎหมายนี้มีผลบังคับใช้ คู่รัก LGBTQ+ ก็จะสามารถได้รับสิทธิทุกอย่างเทียบเท่ากับคู่รักต่างเพศ
ในปี 2567 ที่ผ่านมา ประเทศไทยได้เดินหน้าสู่การเป็นประเทศที่ให้การยอมรับความรักและสิทธิเสรีภาพของทุกเพศด้วยการผ่าน ‘กฎหมายสมรสเท่าเทียม’ เรียบร้อยแล้ว โดยจะมีผลบังคับใช้จริงในอีก 120 วันข้างหน้า ส่งผลให้ประเทศไทยเป็นประเทศแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีกฎหมายให้การรับรองการแต่งงานของบุคคลเพศเดียวกันอย่างสมบูรณ์
ความสำเร็จในการเรียกร้องให้เกิดกฎหมายสมรสเท่าเทียมหรือกฎหมายเพื่อความรักที่เท่ากันนี้ ไม่ได้เป็นการต่อสู้ที่เพิ่งจะเกิดขึ้น แต่มีการเรียกร้องมานานนับสิบปี โดยเริ่มมาตั้งแต่ช่วงประมาณปี 2555 กลุ่มเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิของกลุ่ม LGBTQ+ ได้พยายามผลักดันประเทศไทยให้เกิดการยอมรับการสมรสระหว่างเพศเดียวกัน
ในปี 2560 มีการเสนอ ร่าง พ.ร.บ. การจดทะเบียนคู่ชีวิต นับเป็นความพยายามครั้งแรกในการสร้างกฎหมายเพื่อรับรองสิทธิของคู่รักเพศเดียวกัน แต่ร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ถูกวิจารณ์ว่ารายละเอียดยังไม่เพียงพอ เนื่องจากไม่ได้ให้สิทธิตามกฎหมายเท่ากับคู่สมรสชาย-หญิง เช่น สิทธิการรับบุตรบุญธรรม หรือสิทธิทางภาษีและสวัสดิการต่างๆ
ต่อมาในปี 2562 เกิดการผลักดันให้เกิดการปรับแก้ ‘ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์’ เพื่อให้มีการใช้คำว่า ‘คู่สมรส’ แทน ‘ชายและหญิง’ ซึ่งเป็นการยกระดับการสมรสให้แก่ทุกเพศ และการเคลื่อนไหวเริ่มเข้มข้นขึ้นหลังจากที่มีการลงทะเบียนคู่ชีวิตครั้งแรกในประเทศไทย
ในเดือนมิถุนายนปี 2564 มีการยื่น ร่าง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม โดย ส.ส.จากพรรคก้าวไกล นำเสนอให้มีการแก้ไขกฎหมายให้การสมรสเป็นสิทธิสากลที่ไม่จำกัดเพศ โดยร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจากสังคมและมีการรณรงค์จากหลายองค์กรเพื่อสนับสนุนให้ผ่านการพิจารณา
หนึ่งปีผ่านไปในเดือนมิถุนายน 2565 ร่าง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม ได้ผ่านการพิจารณาขั้นต้นในสภาผู้แทนราษฎร ทำให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความคืบหน้าในการพิจารณากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสิทธิของกลุ่ม LGBTQ+
การต่อสู้ใกล้สู่ความเป็นจริงแม้จะมีอุปสรรคมากมาย ในปี 2566 ร่าง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม ถูกปัดตกจากสภา โดยไม่ได้ถูกนำมาพิจารณาจาก ครม.ชุดใหม่ แต่ในช่วงปลายปีเดียวกัน สภาฯ ได้รับหลักการร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมพร้อมตั้งกรรมาธิการวิสามัญ
การต่อสู้เพื่อความสำเร็จได้สัมฤทธิ์ผลแล้ว ในวันที่ 18 มิถุนายน ปี 2567 วุฒิสภามีมติเห็นชอบใน พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม โดยทางนายกรัฐมนตรีในขณะนั้นคือ นายเศรษฐา ทวีสิน (ปัจจุบันคือ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร) ได้พิจารณาร่างกฎหมาย และตรวจสอบโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสภาชิกวุฒิสภา ซึ่งผ่านข้อกฎหมายดังกล่าวโดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ
และเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2567 ที่ผ่านมา พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว โดยจะมีผลบังคับใช้จริงในอีก 120 วันข้างหน้า หรือตรงกับวันที่ 22 มกราคม 2568 เป็นต้นไป
และในวันนี้ (23 มกราคม 2568) นับว่าเป็น “วันสมรสเท่าเทียม” (Marriage Equality Day) โดยนฤมิตไพรด์ ร่วมกับมูลนิธิเพื่อสิทธิและความเป็นธรรมทางเพศ ภาคีเครือข่ายที่ร่วมกันผลักดันพระราชบัญญัติสมรสเท่าเทียม จับมือกรุงเทพมหานคร, สำนักนายกรัฐมนตรี, กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย, กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม, กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และกระทรวงวัฒนธรรม ได้ปักหมุดพารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าสยามพารากอน กรุงเทพมหานคร เป็นพื้นที่จัดงานวันสมรสเท่าเทียม
โดยภายในงานนี้เปิดจดทะเบียนสมรสคู่รัก LGBTQIAN+ ภายในงาน 300 คู่ รวมทุก 50 เขตในกรุงเทพมหานครมากกว่า 500 คู่ และรวมทั่วประเทศมากกว่า 1,448 คู่ มากที่สุดเป็นประวัติศาสตร์โลก จากปี 2022(2565) ที่การแต่งงานของคู่รัก LGBTQIAN+ มากที่สุดในโลกอยู่ที่ประเทศบราซิล 165 คู่
การที่ประเทศไทยเดินหน้าผ่านกฎหมายนี้สำเร็จร็จเป็นการบอกให้โลกรู้ว่าเราพร้อมที่จะยอมรับความหลากหลายทางเพศและให้ทุกคนมีสิทธิในการสร้างครอบครัวอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ใช่แค่เรื่องของคู่รัก LGBTQ+ แต่คือเรื่องของสังคมที่เปิดกว้าง ยอมรับ และเข้าใจในความหลากหลายมากขึ้น
กฎหมายสมรสเท่าเทียมนี้ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแปลงด้านกฎหมาย แต่คือการขยายขอบเขตแนวคิดของสังคมไทยที่พร้อมจะเปิดรับและให้คุณค่ากับความรักในทุกรูปแบบอย่างแท้จริง