เฟซบุ๊กทุกวันนี้เต็มไปด้วยเรื่องราวมากมาย ทั้งสาระ เรื่องเล่าตลกขำขัน ภาพมีมที่มอบเสียงหัวเราะ ไปจนถึงเรื่องราวแปลกประหลาดที่สืบหาที่มาไม่ได้ แต่ด้วยพลังของกูเกิลการหาที่มาของรูปหรือเรื่องแปลกประหลาดต่างๆ จึงไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นเท่าไรนัก
มีเพจเพจหนึ่งโพสต์รูปภาพจำนวน 5-6 ภาพ ที่ดูเพียงแวบแรกก็แอบรู้สึกขนลุกขนชัน ในภาพนั้นเป็นภาพรูปปั้นที่วางรวมกันอยู่ในป่าลึก หน้าตาดูบิดเบี้ยว ตาลึกโบ๋ มอสกับคราบตะไคร้ที่ขึ้นอยู่ตามตัว บางตัวยิงฟันยิ้มแสยะเห็นฟันเป็นซี่ๆ ราวกับฟันคนจริงๆ ถ้าใครได้เดินผ่านมาแถวนี้ในเวลากลางคืนคงได้หัวใจวายกันแน่ๆ
มีเพจเพจหนึ่งโพสต์รูปภาพจำนวน 5-6 ภาพ ที่ดูเพียงแวบแรกก็แอบรู้สึกขนลุกขนชัน ในภาพนั้นเป็นภาพรูปปั้นที่วางรวมกันอยู่ในป่าลึก หน้าตาดูบิดเบี้ยว ตาลึกโบ๋ มอสกับคราบตะไคร้ที่ขึ้นอยู่ตามตัว บางตัวยิงฟันยิ้มแสยะเห็นฟันเป็นซี่ๆ ราวกับฟันคนจริงๆ ถ้าใครได้เดินผ่านมาแถวนี้ในเวลากลางคืนคงได้หัวใจวายกันแน่ๆ

แน่นอนว่าในช่องคอมเม้นเต็มไปด้วยความเห็นมากมาย บางคนบอกว่านี่คือสุสาน บ้างก็ว่าคือผลงานศิลปะ อีกคนบอกว่าเป็นพื้นที่ที่คนมาวางรูปปั้นทิ้งไว้ แต่เมื่อนำรูปภาพนี้ไปค้นหาในกูเกิล จะพบว่ารูปปั้นในสวนนี้เป็นฝีมือของคนงานในโรงงานกระดาษที่ชื่อ เวโย เรองก์เกอเนน (Veijo Rönkkönen)

เวโย เคยทำงานที่โรงกระดาษมา 41 ปี เขาไม่เคยเรียนศิลปะ แถมเป็นคนสันโดษ ไม่ชอบคุยกับผู้คน และมีบ้านตั้งอยู่ในเขตป่าของประเทศฟินแลนด์ เขาเสียชีวิตในปี 2010 แต่งานรูปปั้นก็ยังวางอยู่รอบบ้านของเขา จำนวน 550 ตัว ทั้งหมดเป็นรูปปั้นมนุษย์ในช่วงอายุต่างๆ กันทั้งเด็ก หนุ่มสาว และชรา ในท่าทางต่างๆ ไม่ว่าจะยิ้มแย้มแสดงความร่าเริง บางตัวแสดงความยืดหยุ่นด้วยท่าทางแบบยิมนาสติก ไปจนถึงแสดงความโศกเศร้า และความเจ็บปวด ตัวที่กล่าวถึงกันมากที่สุดคือตัวที่ใส่ด้วยฟันมนุษย์จริงๆ


ผลงานรูปปั้นมนุษย์พวกนี้ไม่ได้เป็นเพียงแต่ผลงานในยามว่างของเขาเท่านั้น แต่เป็นราวกับพื้นที่ชุมชนสำหรับเขา ซึ่งเป็นที่ที่เขาสามารถเชื่อมต่อกับโลกภายนอกได้ หลังจากที่โยเวเสียชีวิตไป รูปปั้นเหล่านี้ก็ยังคงอยู่ให้เห็นเป็นสิ่งของต่างหน้า และสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาเยี่ยมชมได้ราวปีละ 25,000 คน


แม้ว่ารูปปั้นพวกนี้ดูไม่มีที่มา หรือดูเป็นเพียงงานอดิเรกยามว่างของโยเว แต่จริงๆ แล้วเขาได้แรงบันดาลใจมาจากความรู้ที่สั่งสมมาจากการอ่านหนังสือ ดังนั้น รูปปั้นจึงสื่อถึงเรื่องส่วนตัว ไปจนถึงศาสนา พิธีกรรม และความเชื่อ โดยเฉพาะกลุ่มรูปปั้นที่ทำท่าโยคะทั้งหมด 255 ตัว ที่สะท้อนถึงเรื่องราวในชีวิตของเขาตอนที่เขาลงเรียนโยคะในช่วงปี 1960s บางทีรูปปั้นทั้งหมดนี้อาจเป็นการถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตของเขาตั้งแต่เด็กจนวัยชรา

เราคงจะสันนิษฐานไปเรื่อยๆ เพราะไม่มีหลักฐานจากเขา หรือคนรอบข้าง กล่าวถึงที่มาของงานศิลปะรูปปั้นเหล่านี้เลย เขาอาจเป็นคนที่สันโดษไม่พูดจากับใครในช่วงที่มีชีวิตอยู่ แต่เขาก็ไม่เคยไล่ผู้ชมที่อยากเข้ามาชมงานประติมากรรมพวกนี้ บางทีการที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาชมอยู่ทุกปี หากเขามีชีวิตอยู่ คงทำให้เขาใจชื้นขึ้นมาไม่น้อย
